คุณสมบัติเด่นของ Eagle LiDAR Scanner

Eagle LiDAR Scanner เป็นเครื่องสแกน 3 มิติแบบพกพาที่ใช้เทคโนโลยี LiDAR ร่วมกับ SLAM สำหรับการเก็บข้อมูลพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว มีระยะการสแกนไกล รองรับกล้องความละเอียดสูง และให้ภาพสแกนที่ละเอียดในระดับเซนติเมตร เหมาะสำหรับงานสำรวจ, ก่อสร้าง, สถาปัตย์ และ VR/AR ซอฟต์แวร์ RayStudio ช่วยประมวลผลแบบเรียลไทม์ พร้อมส่งออกไฟล์มาตรฐาน เช่น PLY และ OBJ ใช้งานสะดวก ติดตั้งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ และใช้งานต่อเนื่องได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง เหมาะกับมืออาชีพที่ต้องการเครื่องมือสแกนที่แม่นยำและพกพาได้

ระยะการสแกน: ระยะการสแกนของ Eagle LiDAR Scanner สูงสุดอยู่ที่ 140 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและพื้นผิวที่ทำการสแกน พื้นผิวที่สะท้อนแสงดี เช่น ผนังเรียบหรือสิ่งปลูกสร้าง จะให้ผลแม่นยำมากกว่า ส่วนวัตถุที่ดูดแสงหรือมีพื้นผิวซับซ้อนอาจลดระยะการสแกนลง ความแม่นยำจะอยู่ที่ ±2 ซม. ที่ระยะ 10 เมตร และ ±5 ซม. ที่ระยะ 50 เมตร จึงเหมาะกับการเก็บข้อมูลในพื้นที่กว้าง เช่น อาคาร ถนน หรือแหล่งโบราณคดี

ความแม่นยำ: ความแม่นยำของ Eagle LiDAR Scanner ถือว่าอยู่ในระดับดีมากสำหรับการใช้งานภาคสนามทั่วไป โดยให้ความคลาดเคลื่อนประมาณ ±2 มิลลิเมตรที่ระยะใกล้ (~10 เมตร) และประมาณ ±5 มม. ที่ระยะไกล (~50 เมตร) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความนิ่งในการถือเครื่อง ความเร็วในการเคลื่อนที่ และสภาพพื้นผิวของวัตถุที่สแกน พื้นผิวสะท้อนแสง เช่น ผนังสีอ่อน จะให้ผลแม่นยำกว่าผิวมืดหรือด้าน และการไม่มีตัวแสดงสถานะคุณภาพการ tracking (tracking quality indicator) อาจทำให้ผู้ใช้งานไม่รู้ว่าเกิดการหลุด tracking ระหว่างการสแกนหรือไม่ ซึ่งอาจกระทบกับคุณภาพของข้อมูลที่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้งานอย่างถูกวิธีร่วมกับเทคโนโลยี SLAM และการ calibrate กล้องที่เหมาะสม จะสามารถให้ผลการสแกนที่มีความต่อเนื่องและแม่นยำสูง เหมาะกับงานวัดขนาดอาคาร การสร้างแบบจำลอง 3D อย่างแม่นยำ เช่น BIM, การบูรณะ หรือวิเคราะห์โครงสร้างทางวิศวกรรม

มุมมองการสแกน : มุมมองแนวนอน (Horizontal Field of View): 360 องศา — หมายความว่าสามารถสแกนได้รอบตัวเต็มวงโดยไม่ต้องหมุนเครื่อง มุมมองแนวตั้ง (Vertical Field of View): 59 องศา — ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ระดับพื้นถึงเหนือศีรษะได้ดี มุมมองนี้กว้างกว่าหลายรุ่นในระดับเดียวกัน ทำให้เก็บข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นในการเดินสแกนแต่ละครั้ง เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่เปิดโล่ง เช่น ห้องโถง โรงงาน ทางเดินภายนอก หรือพื้นที่ที่มีเพดานสูง และเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยี SLAM และการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จะได้ข้อมูล 3D ครอบคลุมพื้นที่อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง

กล้องความละเอียดสูง: กล้องใน Eagle LiDAR Scanner มีบทบาทสำคัญในการ เก็บภาพสี (texture) และรายละเอียดของพื้นผิว มาประกอบกับข้อมูลเชิงรูปร่าง (geometry) ที่ได้จาก LiDAR ทำให้โมเดล 3D ที่สร้างออกมานั้นไม่เพียงแค่ “มีรูปร่างถูกต้อง” แต่ยัง ดูสมจริง มีสีสันเหมือนจริง อีกด้วย โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ภาพเสมือน เช่น VR, AR, การนำเสนอเชิงสถาปัตย์ หรืออนุรักษ์โบราณสถาน

เทคโนโลยี SLAM: SLAM (Simultaneous Localization and Mapping) ที่มากับ Eagle LiDAR Scanner เป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่ช่วยให้เครื่องสามารถ สร้างแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งของตัวเองได้พร้อมกันแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องใช้ GPS หรือฐานอ้างอิงภายนอก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานในอาคารหรือพื้นที่ที่สัญญาณ GPS อ่อน

น้ำหนักเบาและพกพาสะดวก: Eagle LiDAR Scanner ถือว่า “น้ำหนักเบาและพกพาง่าย” จริงเมื่อเทียบกับเครื่องสแกนระดับมืออาชีพรุ่นอื่นในตลาด โดยน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1.5 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่ารุ่นที่ต้องติดตั้งกับขาตั้งหรือใช้ฐาน GPS ภายนอก ตัวเครื่องออกแบบให้สามารถใช้งานแบบ ถือด้วยมือ, สะพายหลัง, หรือ ติดตั้งกับรถ/จักรยาน ได้อย่างคล่องตัว แบตเตอรี่ในตัวความจุ 12,000 mAh ใช้งานได้ต่อเนื่อง 60 นาที และสามารถชาร์จระหว่างใช้งานด้วย Power Bank ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกระเป๋าและอุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาให้ ประกอบ-ถอด-เคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ เช่น งานสำรวจสนาม หรืองานบันทึกข้อมูลในที่ห่างไกลโดยไม่ต้องแบกอุปกรณ์หนัก ๆ หลายชิ้น

รองรับการติดตั้งหลากหลาย: สามารถติดตั้งบนเป้สะพายหลัง รถยนต์ หรือจักรยาน เพื่อการสแกนในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับการใช้งานในสถานะการณ์รูปแบบต่างๆ เพราะในหน้างานแต่ละที่นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก อย่างเช่น การทำงานเหมืองขุดเจาะต่างๆ ที่ต้องใช้ทักษะการเดินสำรวจที่ต้องอาศัยความคล่องตัว จึงอาจจะต้องใช้เป้สายหลังในการทำงาน

ซอฟต์แวร์ RayStudio: Eagle LiDAR Scanner รองรับการ ส่งออกข้อมูลแบบหลากหลาย ที่ช่วยให้นำข้อมูลไปใช้ต่อได้ง่ายและหลากหลายรูปแบบ โดยสามารถ:

• ส่งออกไฟล์ 3D ในรูปแบบมาตรฐาน เช่น PLY, OBJ, และ 3D Gaussian Splatting ซึ่งรองรับกับโปรแกรมออกแบบและวิเคราะห์ 3D ชั้นนำ เช่น Autodesk, Blender, MeshLab

• มีซอฟต์แวร์ RayStudio ช่วยประมวลผลและแก้ไขข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือสำหรับการจัดการจุดสแกน

• ข้อมูลที่ได้เหมาะกับการใช้ในงาน สถาปัตยกรรม (BIM), วิศวกรรม, การอนุรักษ์โบราณสถาน, VR/AR, และการสร้างแบบจำลอง 3D

• สามารถนำไฟล์ไปใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ GIS หรือ CAD ได้ทันที ช่วยประหยัดเวลาการแปลงไฟล์และปรับแต่ง

• รองรับการทำงานร่วมกับโมดูล GPS RTK เพื่อเพิ่มความแม่นยำของตำแหน่งในระบบแผนที่ GIS

• ข้อมูลที่ส่งออกยังสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณวัสดุ, ตรวจสอบโครงสร้าง, หรือสร้างภาพจำลองเสมือนจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ