3DD Brand คนไทย 3D Printer, Scanner, Laser

3DD เป็นแบรนด์ของคนไทย มีสินค้าหลายหลายแบบทั้ง 3D Printer, 3D Scanner, Laser รวมถึงวัสดุสิ้นเปลื้องต่างๆ เป็นสินค้าที่เราสั่งผลิต OEM และ สินค้าบางตัวเราวิจัยและพัฒนาเอง

Print3DD ก่อตั้งเมื่อปี 2556 โดยดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่อง 3D Printer/3D Scanner มีการอบรมให้ความรู้และบริการหลังการขาย ครบวงจร เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้าน Additive Technology ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต การออกแบบ ลดต้นทุน และสนับสนุนนโยบาย 4.0 ของรัฐบาลไทย และ ทั่วโลกสินค้าที่จำหน่ายมีหลายรุ่น ขนาดและ ราคา ซึ่งเราเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้ได้จริง ราคาไม่แพง ทุกคนซื้อได้ และที่สำคัญคือดูแลรักษาง่าย จึงทำให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าบุคคล และลูกค้าบริษัท องค์กรของรัฐ และภาคส่วนการศึกษา โรงเรียนมหาวิทยาลัย จนทำให้เรามียอดขายเป็นอันดับ 1 ในหมวดเครื่องพิมพ์ 3มิติ/ เครื่องสแกน 3มิติ/ เลเซอร์แมชชีน (consumer 3D Printer/Scanner/Laser Machine)

เรามีบริการให้คำปรึกษาการประยุกต์ 3D Printer/Scanner Solutions เข้ากับธุรกิจต่างๆ เช่น ทางวิศวกรรม, การแพทย์, การศึกษา, การผลิต, ยานยนต์-อากาศยาน, ทันตแทพย์, งานหล่อ-Jewelry-Art และ งานสถาปัตยกรรม (3D Printer ประยุกต์ใช้ได้เกือบทุกธุรกิจ)
เรารับจัดห้องปฏิบัติการ FabLab — สถาบันการศึกษา, STEM-โรงเรียน, ห้องวิจัยและพัฒนา-องค์กร และ บริษัทเอกชน, ห้องผลิตเครื่องมือแพทย์-คลีนิค แลป โรงพยาบาล

Resin 3DD น้ำยาเรซิ่นสำหรับ 3D Printer

วัสดุพิมพ์3มิติ น้ำเรซิ่นของเครื่องพิมพ์ 3มิติ ระบบ SLA, LCD, MLCD, DLP น้ำเรซิ่นจะแข็งตัวเฉพาะจุดที่โดนแสง UV โดยหลักๆจะแบ่งเป็น 2ประเภทจากขนาดคลื่นของ UV ความยาวคลื่น 385-405nm สำหรับเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก และ UV ความยาวคลื่น 355nm สำหรับเครื่องพิมพ์ระดับอุตสาหกรรมที่พิมพ์ได้ขนาดใหญ่ SLA 3D Printer 60ซม – 3เมตร

• เรซิ่น 385-405nm ใช้ได้กับ 3D Printer ทั่วไปในท้องตลาด (MLCD, SLA, DLP) โดยมากจะขายที่น้ำหนัก 1Kg เป็นขนาดมาตรฐานมีให้เลือกมากมายในท้องตลาด ทั้งแบบ Standard ใช้ได้กับงานทั่วไป, High Detail Nano ละเอียดพิเศษ, Washaable ล้างได้ด้วยน้ำเปล่า, Engineer สามารถให้ตัว แข็งแรง, Wax สำหรับงานหล่อเครื่องประดับ Jewelry เป็น โดยเรซิ่นของ 3DD สามารถใช้ได้กับเครื่องทั่วไปรวมถึง Phrozen, Elegoo, Creality, AnyCubic, Flashforge เป็นต้น

• เรซิ่น 355nm ใช้กับ SLA 3D Pritner ระดับอุตสาหกรรม พิมพ์ได้ 60cm – 300cm ขนาดที่ขายมาตรฐานคือ 10Kg เนื่องจากเครื่องพิมพ์บรรจุเรซิ่นอยู่แล้ว  250Kg – 1000Kg โดยมากผู้ใช้งานจะไม่ค่อยเปลี่ยนเรซิ่นเพื่อถังเรซิ่นในเครื่องใหญ่มากๆเปลี่ยนยาก จะเติ่มครั้งละ 10Kg 355nm Photopolymer Resin ที่นิยมในไทยจะเป็นสีน้ำตาล Brown Resin

Filament เส้นพลาสติก วัสดุสำหรับ 3D Printer

เส้นพลาสติก คือวัสดุสิ้นเปลืองที่สำคัญที่สุดสำหรับเครื่องพิมพ์ 3 มิติระบบ FDM (Fused Deposition Modeling) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้หัวฉีดหลอมละลายพลาสติกแล้วฉีดออกมาเป็นชั้น ๆ เพื่อสร้างวัตถุ Filament เปรียบเสมือน “วัตถุดิบหลัก” ที่กำหนดคุณสมบัติ ความทนทาน และรูปลักษณ์สุดท้ายของชิ้นงาน การเลือกใช้เส้นพลาสติกที่ถูกต้องจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการผลิต ซึ่ง Filament แต่ละชนิดถูกสร้างขึ้นจากพอลิเมอร์ที่แตกต่างกัน ทำให้มีจุดหลอมเหลวและความแข็งแรงเฉพาะตัว ดังนั้น การทำความรู้จักกับคุณสมบัติของเส้นแต่ละประเภทจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิศวกรและนักออกแบบ

• PLA (Polylactic Acid) เป็นวัสดุเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกของการพิมพ์ 3 มิติ ใช้งานง่ายที่สุด ในการพิมพ์ มีกลิ่นน้อยมากขณะหลอมละลาย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะผลิตจากวัตถุดิบหมุนเวียน (เช่น ข้าวโพด) ชิ้นงานที่ได้จะมีความแข็ง แต่ ไม่ทนทานต่อความร้อนสูง และอาจแตกหักได้ง่ายกว่าพลาสติกวิศวกรรมชนิดอื่น เหมาะสำหรับ: งานต้นแบบทั่วไป, โมเดลสถาปัตยกรรม, ของเล่น, และงานตกแต่งที่ไม่ต้องรับแรงหรือความร้อนสูง
• ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) คือพลาสติกที่รู้จักกันดีในอุตสาหกรรม และเป็นวัสดุพิมพ์ 3 มิติที่ก้าวหน้าไปอีกขั้นจาก PLA มีความ แข็งแรงสูง และ ทนทานต่ออุณหภูมิได้ดี กว่า PLA มาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม การพิมพ์ ABS มักต้องใช้ ฐานพิมพ์ทำความร้อน และควรพิมพ์ในตู้ปิดเพื่อป้องกันปัญหาการหดตัว (Warping) เหมาะสำหรับ: ชิ้นส่วนที่ต้องใช้งานจริง, กล่องหุ้มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนรถยนต์ขนาดเล็ก, และอุปกรณ์จับยึด (Jigs) ในโรงงาน
• PETG (Polyethylene Terephthalate Glycol) เป็นจุดสมดุลระหว่าง PLA และ ABS ที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติเด่นคือ ความทนทาน และ ความยืดหยุ่น ในระดับที่ดี (แข็งแรงกว่า PLA และยืดหยุ่นกว่า ABS เล็กน้อย) อีกทั้งยังทนต่อสารเคมีและความชื้นได้ดี มักถูกจัดเป็นพลาสติกเกรดปลอดภัยต่ออาหาร (เมื่อผ่านกระบวนการที่เหมาะสม) และมักจะพิมพ์ง่ายกว่า ABS เหมาะสำหรับ: ชิ้นส่วนภายนอกอาคาร, ชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ต้องรับแรงปานกลาง, ภาชนะบรรจุที่ต้องการความใสหรือกึ่งใส
• TPU (Thermoplastic Polyurethane) คือ Filament ที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก คล้ายยางหรือซิลิโคน สามารถบิดงอหรือคืนรูปได้ดี มีความทนทานต่อการฉีกขาดและการเสียดสี แต่การพิมพ์ต้องใช้ความเร็วต่ำและต้องการการตั้งค่าที่แม่นยำเพื่อป้องกันการพันกันของเส้นเหมาะสำหรับ: ซีล, ปะเก็น (Gaskets), เคสโทรศัพท์, ยางกันกระแทก, และชิ้นส่วนที่ต้องการคุณสมบัติคล้ายยาง

3D Scanner เครื่องสแกนเนอร์ 3มิติ

เครื่องสแกน 3 มิติ คือเทคโนโลยีที่ปฏิวัติ วิธีการวัดและสร้างแบบจำลอง โดยเปลี่ยนวัตถุจริงให้เป็น ไฟล์ดิจิทัล 3 มิติ ที่มีขนาดและสัดส่วนตรงตามต้นฉบับทุกประการ ต่างจากการวัดแบบ 2 มิติที่เราคุ้นเคย ความสามารถในการเก็บข้อมูลเชิงลึกนี้ทำให้ 3D Scanner กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในหลากหลายสาขา ตั้งแต่วิศวกรรมไปจนถึงศิลปะ และการแพทย์ 

• บทบาทที่ใหญ่ที่สุดของ 3D Scanner อยู่ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสองด้านหลัก คือ วิศวกรรมย้อนรอย : นี่คือการใช้งานที่แพร่หลายที่สุด เมื่อมีชิ้นงานจริง เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์คลาสสิกหรือแม่พิมพ์ แต่ไม่มีไฟล์ CAD ดั้งเดิม การสแกนจะสร้างไฟล์ 3 มิติ ขนาด 1:1 ขึ้นมา ผู้ใช้สามารถนำไฟล์นี้ไปเข้าซอฟต์แวร์เฉพาะทาง (เช่น Geomagic Essential, SolidEdge) เพื่อดัดแปลง, แก้ไข, หรือผลิตซ้ำชิ้นส่วนนั้นได้อย่างถูกต้องและสมสัดส่วนทันที และ การตรวจสอบคุณภาพ : เนื่องจากไฟล์ที่สแกนมีความเที่ยงตรงสูง 3D Scanner จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพการผลิต โดยเปรียบเทียบขนาดของชิ้นส่วนที่ผลิตจริงกับแบบจำลองในคอมพิวเตอร์เพื่อหาความผิดพลาดคลาดเคลื่อน ระดับไมโครเมตร ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานสูง เช่น ยานยนต์, อากาศยาน, และเครื่องมือแพทย์ (ใช้ซอฟต์แวร์เช่น Geomagic Control)
• ในสายงานศิลปะและออกแบบ 3D Scanner เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับศิลปิน และนักออกแบบ เช่น การใช้เครื่องสแกนเพื่อเก็บโบราณวัตถุ, ประติมากรรมที่ปั้นด้วยมือ, หรือแม้กระทั่งใบหน้าคนดัง ไว้ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเก็บรักษา หรือนำไปแต่งเติมรายละเอียดต่อในซอฟต์แวร์เฉพาะทาง (เช่น Zbrush, Mesh Mixer) และในส่วนที่เป็น ที่นิยมรองลงมา คือการสแกนโมเดลต้นแบบขนาดเล็ก แล้วนำไฟล์ไปขยายให้ใหญ่ขึ้นมหาศาลเพื่อสร้างชิ้นงานจริงขนาดใหญ่ หรือย่อส่วนชิ้นงานใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงได้ หรืองานบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคล้ายกับวิศวกรรมย้อนรอย แต่เน้นที่การสแกนสินค้าเพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์ที่พอดี โดยอาจจะ Offset ขนาดให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย 2-3 มม. ซึ่งไม่ต้องใช้ความแม่นยำระดับ Micron
• วงการทางการแพทย์ 3D Scanner มีบทบาทสำคัญในการรักษา และปรับปรุงคุณภาพชีวิต คณะแพทย์และโรงพยาบาลใช้สแกนเนอร์ เพื่อเก็บขนาดภายนอกของร่างกายมนุษย์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับ MRI หรือ CT Scan เพื่อการวินิจฉัยโรค หรือที่สำคัญคือการสร้าง เครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วนร่างกายเทียม (แขน, ขา) โดยอาจใช้วิธีสแกนข้างที่สมบูรณ์แล้วทำ Mirror เพื่อสร้างข้างที่พิการ และที่ขาดไปไม่ได้เลยคือทันตกรรม เป็นอีกหนึ่งหมวดที่ใช้มาก ทั้งการสแกนในช่องปากโดยตรง หรือการสแกนโมเดลฟัน เพื่อนำข้อมูลไปออกแบบและผลิต Clear Aligner, วีเนียร์, หรือครอบฟัน

สุดท้ายนี้ 3D Scanner คือกุญแจสำคัญในการสร้างโลกดิจิทัลยุคใหม่ มีบทบาทสำคัญในการสร้างแบบจำลองสภาพแวดล้อม ด้วยการสแกนระบบ Lidar ถูกใช้เพื่อสร้างแบบจำลอง 3 มิติของพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น อาคาร, โรงงาน, หรือพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อวางแผนการปรับปรุงหรือจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ขณะเดียวกัน เครื่องสแกนแบบ Photogrammetry (เช่น Full Body Scanner) ก็มีบทบาทในการสร้างตัวละคร หรือโมเดลที่มีสีและพื้นผิวที่สมจริงที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวละคร, ฉาก, หรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับ Animation, Metaverse, และ Gaming ไฟล์ที่ได้จากการสแกนคือรากฐานที่สมจริงสำหรับการสร้างประสบการณ์ โลก 3มิติที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ 

3D Printer เครื่องพิมพ์ 3มิติ ระดับอุตสาหกรรม

ในยุคของการผลิตแบบใหม่ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printer) ได้ก้าวเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องสร้างต้นแบบอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้งานจริง เครื่องจักรระดับอุตสาหกรรมที่มีราคาสูงนั้นมักแบ่งตามเทคโนโลยีหลัก ๆ ที่ใช้ในการสร้างชิ้นงาน ซึ่งในภาพที่เราเห็นนั้นมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ SLA และ FDM (Extruders) การเข้าใจความแตกต่างของสองระบบนี้จะช่วยให้คุณเลือกลงทุนในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การผลิตของคุณได้อย่างแม่นยำ

• เครื่องพิมพ์ที่ใช้ระบบ SLA เช่น รุ่น RAY SLA 600 หรือ RAY SLA 800 ถือเป็นตัวเลือกชั้นยอดสำหรับโรงงานที่ต้องการชิ้นงานที่มี คุณภาพพื้นผิวสูงสุด และ ความแม่นยำทางมิติสูง หลักการทำงานของ SLA คือการใช้ เลเซอร์ความแม่นยำสูง ยิงลงบน น้ำยาเรซินเหลว (Liquid Resin) ทีละชั้น เพื่อทำให้น้ำยาแข็งตัวเป็นของแข็งกระบวนการนี้ทำให้ชิ้นงานที่ได้มีพื้นผิว เรียบเนียนราวกับผิวแก้ว ไม่เห็นรอยชั้น (Layer Lines) ชัดเจนเหมือนเครื่องพิมพ์ทั่วไป เครื่องพิมพ์ 3มิติ ระบบSLA จึงเหมาะอย่างยิ่งกับงานการสร้างต้นแบบที่ละเอียดอ่อน (High-Detail Prototypes): เช่น โมเดลทางการแพทย์ หรือชิ้นส่วนที่ต้องใช้ในงานนำเสนอ ทำแม่พิมพ์ (Tooling and Molds): ที่ต้องการความแม่นยำสูง เหมาะกับการผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่: รุ่นอุตสาหกรรมมีขนาดพื้นที่พิมพ์ที่ใหญ่มาก ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนใหญ่ชิ้นเดียว หรือหลายชิ้นพร้อมกันได้
• เครื่องพิมพ์ที่ใช้ระบบ FDM เช่น รุ่น FullScale Max660 Pro และ Max1000 เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ 3D การผลิตชิ้นงานในระดับอุตสาหกรรม ที่ต้องนำไปใช้งานจริง โดยหลักการทำงานของเครื่องคือการใช้ หัวฉีดหลอมละลายเส้นพลาสติก (Filament) และฉีดออกมาวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งถ้าพูดถึงข้อดีของ ระบบFDM คือความสามารถในการใช้วัสดุเส้นพลาสติกเกรดวิศวกรรม ที่มีความแข็งแรงสูง และใช้ต้นทุนวัสดุที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับน้ำยาเรซิ่นของ เครื่องพิมพ์ระบบSLA อีกจุดเด่นสำคัญของเครื่องพิมพ์ในระดับอุตสาหกรรม คือระบบสองหัวฉีด ซึ่งช่วยให้สามารถพิมพ์ด้วยวัสดุสองชนิดพร้อมกันได้ เช่น การพิมพ์ชิ้นงานหลักด้วยพลาสติกที่ทนทาน และพิมพ์โครงสร้างค้ำยันด้วยวัสดุที่สามารถละลายน้ำได้ ทำให้การทำความสะอาดชิ้นงานหลังพิมพ์ง่ายขึ้นมาก และประหยัดต้นทุนของวัสดุเพิ่มได้ เครื่องพิมพ์ 3มิติ ระบบFDM จึงเหมาะกับงานที่ใช้งานจริง เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์, ฝาครอบเครื่องยนต์ หรือ อุปกรณ์จับยึดที่ต้องรับแรงดึง แรงกระแทก และเหมาะมากกับการผลิตชิ้นงานขนาดใหญ่

Laser CO2, Fiber, UV ระดับอุตสาหกรรม

เครื่องเลเซอร์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ชิ้นงานมีความแม่นยำ โดยทั่วไปในระดับอุตสาหกรรมจะแบ่งออกเป็น 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ CO2 Laser, Fiber Laser และ UV Laser ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับวัสดุที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความสามารถเฉพาะตัวของเลเซอร์แต่ละประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจนำมาใช้งาน เพื่อความคุ้มค่า และการใช้งานตรงตามความต้องการ

• เครื่อง CO2 Laser คือเลเซอร์พื้นฐานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีกำลังสูงและพื้นที่การทำงานที่กว้างขวาง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน ตัดและแกะสลักวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ ลำแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับได้ดีมากในวัสดุเหล่านี้ ทำให้สามารถตัดหรือแกะสลักได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง วัสดุที่ใช้งานได้ดีที่สุดคือ ไม้ (MDF, ไม้อัด), อะคริลิค (พลาสติก), หนัง, ผ้า, กระดาษ และยาง หากงานหลักของคุณคือการผลิตป้ายขนาดใหญ่, โมเดล, หรือชิ้นส่วนจากวัสดุเหล่านี้ เครื่อง CO2 คือตัวเลือกที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผลที่สุด นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษที่เรียกว่า CO2 Mix Laser ซึ่งเพิ่มความสามารถในการตัดโลหะบาง ๆ ได้ด้วยการใช้ก๊าซช่วย แต่จะมีราคาสูงกว่ารุ่นมาตรฐาน
• เครื่อง Fiber Laser เหมาะสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับ โลหะทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสแตนเลส, อลูมิเนียม, ทองเหลือง, หรือโลหะเคลือบสี ซึ่งเลเซอร์ที่เหมาะสมกับโลหะประเภทนี้ที่สุดคือ Fiber Laser (ไฟเบอร์เลเซอร์) เลเซอร์ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการสร้างรอย มาร์คกิ้ง (การแกะสลักตื้น ๆ) บนโลหะได้อย่างคมชัดและถาวร ด้วยลำแสงที่มีความยาวคลื่นที่โลหะดูดซับได้ดี ทำให้มันเหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมที่ต้องการระบุตัวตนผลิตภัณฑ์ เช่น การยิงซีเรียลนัมเบอร์, โลโก้, หรือบาร์โค้ดบนชิ้นส่วนเครื่องจักร หรือแม้แต่การแกะสลักเครื่องประดับ ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ Fiber Laser เป็นเลเซอร์สำหรับงานโลหะที่เชื่อถือได้และรวดเร็ว
• เครื่อง UV Laser (ยูวีเลเซอร์) คือเลเซอร์ที่ใช้ในงานที่ต้องการ ความละเอียดสูงสุด และต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความร้อน เลเซอร์ชนิดนี้ถูกเรียกว่าเป็นการทำงานแบบ “เย็น” เพราะใช้ปฏิกิริยาทางเคมีแสง (Photochemical Reaction) ในการแกะสลักมากกว่าการใช้ความร้อนเหมือน CO2 หรือ Fiber ทำให้ไม่เกิดรอยไหม้หรือความเสียหายจากความร้อน (Heat Affected Zone ต่ำมาก) วัสดุที่เลเซอร์ชนิดอื่นทำลายได้ง่าย เช่น แก้ว, เซรามิก, พลาสติกที่ละเอียดอ่อน หรือวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ จึงเหมาะกับการใช้ UV Laser เพื่อให้ได้รอยแกะสลักที่มีคุณภาพสูงและแม่นยำที่สุด

laser-machine

Review 3D Printer 3D Scanner

Load More Loading More... You’ve reached the end of the list