EINSTAR 2 & EINSTAR Rockit | สองพี่น้องสแกนเนอร์ที่พกพาง่ายที่สุดจาก Shining 3D

EINSTAR 2 & EINSTAR Rockit | สองพี่น้องสแกนเนอร์ที่พกพาง่ายที่สุดจาก Shining 3D

ถ้าเราพูดถึง 3D สแกนเนอร์ ในตลาดตอนนี้ จะเห็นว่ามีหลายแบรนด์ หลายดีไซน์ แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น มีเครื่องที่ต้องตั้งอยู่กับที่ มีเครื่องที่เหมาะกับการสแกน
ชิ้นงานขนาดใหญ่ในสตูดิโอหรือโรงงาน แต่ก็มีผู้ใช้งานไม่น้อยที่ต้องการ เครื่องสแกนที่พกพาไปไหนก็สะดวก เพื่อสแกนหน้างาน หรือสำหรับวัตถุที่เคลื่อนย้ายยาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้
ผู้ผลิต 3D Scanner หลายแบรนด์ จึงมักมีรุ่นพกพาของตัวเอง และ Shining 3D หนึ่งในผู้ผลิต 3D Scanner ชั้นนำของโลก ก็ไม่นานมานี้เพิ่งเปิดตัวเครื่องสแกน 3 มิติรุ่นใหม่ถึง 2 รุ่น
นั่นก็คือ EINSTAR 2 และ EINSTAR Rockit

จุดเด่นของทั้งคู่คือ เน้นพกพาง่ายและใช้งานสะดวก ทำให้เหมาะกับผู้ใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่นักออกแบบ นักสร้างต้นแบบ ไปจนถึงวิศวกรภาคสนาม และสิ่งที่ “พี่น้องสแกนเนอร์” ตระกูล EINSTAR
นั้นเหมือนกัน คือการออกแบบ ตัวเครื่องให้กะทัดรัดทั้งคู่ ไม่ต้องต่อด้ามจับเพิ่ม ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานได้ง่าย แต่ถ้าสงสัยว่า… รุ่นไหนจะเป็นพี่ รุ่นไหนจะเป็นน้องเพราะอะไร? งั้นเรามาเริ่ม
ทำความรู้จักกับสเปค ความสามารถ ฟังก์ชันการทำงานของพี่น้อง Portable Scanner ที่เน้นความคล่องตัวที่สุดเท่าที่ Shining 3D เคยมีมากัน

ทำความรู้จักน้องเล็ก EINSTAR 2
เริ่มกันที่น้องเล็กของตระกูลพกพาอย่าง EINSTAR 2 ซึ่งถือเป็นรุ่นพัฒนาต่อยอดมาจาก EINSTAR รุ่นแรก สิ่งแรกที่เห็นชัดถ้าเอามาวางเทียบกัน EINSTAR 2 ขนาดเล็กลงมากเหลือเพียง 130 x 37 x 61 มม.

ภาพเปรียบเทียบขนาด EINSTAR 2 กับ EINSTAR รุ่นแรก ( จากซ้ายไปขวา : ถ่าน Li-thium→EINSTAR 2→EINSTAR )

จุดเด่นของรุ่นนี้คือการอัพเกรด Light Source และความเร็วสแกนให้ดียิ่งขึ้น หนึ่งในสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ Parallel Laser จัดเต็มถึง 17 เส้น ถ้าเทียบกับเครื่องเลเซอร์ทั่วไปที่มีเลเซอร์แบบ Parallel Line
ถือว่าเยอะกว่ามากเลย ทำให้พื้นที่การสแกนกว้างกว่าสแกนเนอร์รุ่นอื่นๆที่ใช้ Parallel Laser เหมือนกันอย่างชัดเจน (ความกว้างการสแกนถึง 490 x 580 มม.)

ด้วยระบบเลเซอร์ที่เพิ่มเข้ามาทำให้งานสแกนละเอียดกว่ารุ่นก่อนให้ความละเอียดสูงสุด 0.05 มม.

ไม่ได้มีดีแค่เลเซอร์ EINSTAR 2 ยังเป็น Hybrid Light Source รองรับทั้งโหมดเลเซอร์และ IR อีกด้วย ทำให้สามารถสแกนวัตถุได้หลากหลายชนิดในหลายสภาพแสง

IR พื้นที่สแกนกว้าง ระยะสแกนกว้างสแกนระยะไกล้-กลาง-ไกล ไม่มีปัญหา สแกนไว สแกนผมได้ เมื่อเกิด Tracking loss กลับมา Track ค่อนข้างไว

ความเร็วในการสแกนก็เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด สูงสุด 2,500,000 points/s ในโหมดเลเซอร์ และ 1,440,000 points/s ในโหมด IR

นอกจากความแม่นยำแล้ว รุ่นนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวก รองรับการทำงานแบบ Wireless พร้อม แบตเตอรี่ในตัวที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ช่วยให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้น
ต่างจากระบบสายเสียบชาร์จแบบเดิมที่ต้องรอชาร์จก่อนจึงใช้งานต่อได้

ทำความรู้จักพี่ใหญ่ EINSTAR Rockit
หลายคนอาจคิดว่าเครื่องสแกนขนาดเล็กมักจะสเปคน้อยตามขนาด แต่กับ EINSTAR Rockit ไม่เป็นอย่างนั้นเลย แม้จะเป็นรุ่นพกพาที่มีขนาดเท่ากับ EINSTAR 2 (130 x 37 x 61 มม.)


แต่กลับให้ความทรงพลัง เหมือนเครื่องสแกนระดับโปร จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ ระบบเลเซอร์แบบ 19 + 19 Cross Laser ที่ช่วยให้การสแกนรวดเร็วในพื้นที่กว้าง พร้อมกับ 7 Parallel Laser สำหรับเก็บ
รายละเอียดชิ้นงาน การสลับโหมดเลเซอร์ระหว่างสแกนก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงกดปุ่มที่ตัวเครื่อง

เหมือนกับ EINSTAR 2 รุ่นนี้ก็เป็น Hybrid Light Source รองรับทั้งโหมด Laser และ IR ความเร็วสูงกว่า EINSTAR 2 ในโหมดเลเซอร์ที่ 2,800,000 points/s และเท่ากันในโหมด IR

และยังสามารถทำงานผ่าน Wi-Fi ได้ ถือเป็นเครื่องสแกนระดับโปรที่คล่องตัวมากถึงแม้ทำงานแบบ Wireless ความเร็วสแกนสามารถทำได้สูงสุดถึง 90 Fps (ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fiและสเปกคอมด้วย)

หนึ่งในฟังก์ชันที่ว้าวที่เทียบกับเครื่องระดับโปรได้เลยนั่นก็คือการรองรับ Feature Alignment หรือการสแกนแบบไม่ติด Marker (ข้อแม้คือต้องเป็นวัตถุที่มีความซับซ้อนและไม่สมมาตร)

การสแกนเก็บสีลวดลายรถทั้งคันโดยไม่ต้องติด Marker ใช้ระบบ Texture Alignment ในโหมด IR เหมาะกับงานสแกนวัตถุที่ต้องการสีและรายละเอียดครบถ้วน

Einstar 2 สามารถใช้ Texture Alignment ได้เหมือนกัน แต่ความละเอียดกล้องของ Rockit จะมากกว่า

และเหมือนกับ EINSTAR 2 รุ่นนี้ก็มี แบตเตอรี่ในตัวที่ถอดเปลี่ยนได้ ช่วยให้ใช้งานต่อเนื่องนอกสถานที่สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งระบบสลับแบตทำให้ทำงานได้ค่อนข้างลื่นไหล (มีระดับแบตเตอรี่ขึ้นให้ดูในโปรแกรมควบคุม )

ตารางเปรียบเทียบสเปค
เพื่อเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรามาดูตารางเปรียบเทียบของทั้ง 2 รุ่นกัน ว่ามีฟังก์ชันที่เหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

EINSTAR 2

EINSTAR Rockit

Hybrid Light Source รองรับ Laser และ IR ✔️ ✔️
Laser HD : 17 Blue Laser Parallel Lines 19 + 19 Cossed Laser Lines 
7 Blue Laser Parallel Lines
IR Rapid : IR VCSEL IR VCSEL
ความเร็วการสแกนโหมดเลเซอร์ : 2,500,000 points/s 2,800,000 points/s
ความเร็วการสแกนโหมด IR : 1,440,000 points/s 1,440,000 points/s
ความละเอียดการสแกน Laser : 0.05 ~ 10 mm | IR : 0.2 ~ 10 mm Laser : 0.05 ~ 10 mm | IR : 0.2 ~ 10 mm
Working Distance (ระยะการสแกน) : Laser : 100 ~ 600 mm | IR 160 ~ 1400 mm Cross Laser : 100 ~ 600 mm | Parallel Laser :100 ~ 400 mm  | IR 160 ~ 1400 mm
Max. FOV (พื้นที่การสแกนสูงสุด) :  Laser : 490 x 580 mm | IR : 1170 x 1385 mm Cross Laser : 545 x 620 mm | Parallel Laser : 355 x 425 mm  | IR : 1170 x 1385 mm
Feature Alignment การสแกนแบบไม่ติด Marker : ✔️
สามารถทำงานกลางแจ้ง (70,000-110,000 Lux) : ✔️ ✔️
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi : ✔️ ✔️
ความเร็วการสแกนสูงสุด 90 fps ✔️ ✔️
แบตเตอรี่ในตัว-ถอดเปลี่ยนได้ : ✔️ ✔️
ขนาดตัวเครื่อง (H*D*W) : 130 x 37 x 61 mm 130 x 37 x 61 mm
น้ำหนัก 420g 425g

จากตารางเปรียบเทียบสเปกจะเห็นว่า ทั้ง EINSTAR 2 และ EINSTAR Rockit มี ความเหมือนกันคือเป็น Hybrid Light Source, โหมด Laser และ IR, มีแบตเตอรี่ในตัวถอดเปลี่ยนได้ และรองรับการเชื่อมต่อ
แบบ Wireless ในด้านความต่าง EINSTAR Rockit มีความเร็วสูงกว่าจาก Cross Laser และพื้นที่สแกนที่กว้างกว่า แถมยังรองรับฟังก์ชัน Feature Alignment (สแกนแบบไม่ติด Marker)

EINSTAR 2 เหมาะกับใคร
ถึงแม้ EINSTAR 2 จะเป็นรุ่นน้องเล็ก แต่ก็ให้ความสามารถที่ครบครันสำหรับการใช้งานหลายรูปแบบ ด้วยความ พกพาง่าย ตัวเครื่องกะทัดรัด และใช้งานสะดวก ทำให้เหมาะกับผู้เริ่มต้น นักเรียนนักศึกษา
ที่ต้องการเครื่องสแกน 3 มิติแบบมือถือ สำหรับงานอดิเรก หรือโปรเจ็คส่วนตัว นักออกแบบที่อยากเก็บข้อมูล 3มิติวัตถุเพื่อหาไอเดียต่อยอดการออกแบบ สำหรับ EINSTAR 2 รุ่นนี้แนะนำให้ทำงานกับวัตถุ
ขนาดเล็ก – ขนาดกลางไม่เกิน 1 เมตร กำลังดีและทำงานได้มีประสิทธิภาพ

EINSTAR Rockit เหมาะกับใคร
EINSTAR Rockit เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการ เครื่องสแกนพกพาแต่ให้สเปคใกล้เคียงเครื่องสแกนระดับโปร เช่น วิศวกร นักออกแบบอุตสาหกรรม หรือผู้ที่ต้องการงานสแกนละเอียดสูงแต่ต้องทำงาน
นอกสถานที่บ่อย ด้วยระบบ Cross Laser 19+19 ช่วยให้สแกนเก็บพื้นที่วัตถุขนาดใหญ่ ทำได้เร็วและแม่นยำ และการรองรับ Feature Alignment หรือการสแกนแบบไม่ติด Marker จะสะดวกต่อการทำงาน
บางอย่างที่ไม่สามารถติด Marker ได้เช่น งานปฏิมากรรมที่สำคัญ หรืองานที่ต้องการความไวในการสแกน โดยรวมแล้ว Rockit จะเหมาะกับงานภาคสนามที่ต้องการความคล่องตัว และความเร็วสูง
สามารถทำงานกับวัตถุตั้งแต่ขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ ประมาณ 5 ซม. – มากกว่า 2 เมตร(สเปคคอมต้องสามารถรองรับข้อมูลไหว)

สรุป
ทั้ง EINSTAR 2 และ Rockit ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องสแกนแบบพกพา ที่เน้นความคล่องตัวด้วยการทำงานแบบ Wireless และทำงานแบบต่อเนื่องด้วยระบบแบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้
สามารถพกพาไปทำงานนอกสถานที่ได้ทั้งคู่ ส่วนต่างหลักๆคือเรื่องของ Laser ที่ Rockit มี Cross Laser เพื่อการสแกนที่เน้นพื้นที่กว้างและไว และฟังก์ชันการสแกนแบบไม่ติด Marker ทำให้การทำงาน
ที่สะดวกขึ้น แต่แน่นอนว่า Rockit ก็จะมีค่าตัวที่สูงกว่า สรุปแล้วถ้าสแกนงานทั่วไปไม่ใหญ่มาก ความละเอียดสูงในราคาไม่แรงแนะนำ EINSTAR 2 เลยครับ แต่ถ้างานใหญ่ เน้นไว เพิ่มฟังก์ชันเสริม
เพื่อความสะดวกแนะนำเป็น Rockit ครับ