Bambu Lab H2C เครื่องพิมพ์ FDM ที่ล้ำที่สุดตอนนี้กับระบบ 7 หัวฉีด

Bambu Lab H2C เครื่องพิมพ์ FDM ที่ล้ำที่สุดตอนนี้กับระบบ 7 หัวฉีด

ถ้าพูดถึงเครื่องพิมพ์ 3 มิติ FDM ที่ล้ำและครบเครื่องที่สุดของ Bambu Lab ตอนนี้น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักแล้วสำหรับเครื่อง Bambu Lab H2C ที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่แง้มข่าวมาก่อนเปิดตัวจริงแล้ว
ว่าเป็นเครื่องพิมพ์ Multi-Nozzle ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับงาน Muti Color และพอเปิดตัวจริงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีหัวฉีดที่สามารถทำงานร่วมกันได้สูงสุดมากถึง 7 หัว นับว่าสร้างความน่าตื่นเต้น
ให้กับเหล่าสาวก Bambu Lab ไม่น้อยเลยครับ บางคนเห็นแค่นี้ก็แทบรอไม่ไหวที่อยากจะจัดซักเครื่อง แต่หลายคนก็ยังตั้งคำถามว่ามีทำไมตั้ง 7 หัว? มีหัวเยอะแล้วเจ๋งยังไง?

แม้ว่าจุดเด่นจุดแรกที่หลายคนรู้จัก H2C จะเป็นเรื่อง 7 หัวฉีด แต่ขอบอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่นั้นแน่นนอน วันนี้ 3DD จะพาไปดูว่า Bambu Lab H2C ตัวนี้มีอะไรใหม่บ้าง เครื่องรุ่นนี้เหมาะกับใครและทำไม
ถึงน่าเล่น? เรามาดูไปด้วยกันเลยครับ

Vortek : ระบบสลับหัวฉีดอัจริยะ
ไม่พูดถึงไม่ได้เลยกับจุดเด่นที่สุดของ H2C ที่หลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคือ ระบบ Vortek Hotend Change System คือ ระบบการเปลี่ยนหัวฉีดทั้งชุด (Hotend Module) แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถ
ทำงานร่วมกันได้สูงสุดถึง 7 หัว (หัวด้านซ้ายอยู่กับที่ และสลับหัวด้านขวาทั้ง 6) แต่ละหัวสามารถโหลดเส้นพลาสติกต่างชนิดกัน ทำให้พิมพ์งานหลายสีหลายวัสดุในชิ้นเดียวได้จริง ๆ โดยไม่ต้องประกอบ
ชิ้นงานทีหลัง

การทำงานของระบบ Vortek ใช้เวลาเปลี่ยนหัวจนถึงพิมพ์ต่อ 22 วินาที

แน่นนอนว่าระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ของ H2C เป็นเครื่องพิมพ์ที่โดดเด่นเรื่องการพิมพ์หลายสี/วัสดุที่สุด Bambu ในตอนนี้เลย ออกลองนึกภาพว่าถ้าเราอยากพิมพ์โมเดลตัวละคร 3D ที่มีสีหลายส่วน
หรือโมเดลที่ต้องผสมวัสดุแข็งและวัสดุยืดหยุ่นในชิ้นเดียว H2C จะช่วยให้พิมพ์โมเดลแบบนี้เสร็จได้ในรอบเดียวเลย ระบบการสลับหัวอัตโนมัติทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ลดเวลาการทำงานได้มากเลยครับ

และหัวฉีดของ H2C ก็ยังคงมาตรฐานหัวฉีดเครื่องพิมพ์ H Series ของ Bambu คือตัววัสดุยังเป็น Hardened Steel และสามารถทนความร้อนสูงสุด 350°C แต่ด้วยระบบ Vortek นี้เองที่รองรับ nozzle
ขนาด 0.2, 0.4, 0.6 และ 0.8mm ทำให้เราสามารถพิมพ์ได้ทั้งงานละเอียดสูง และงานขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องคอยถอดเปลี่ยนหัวฉีดเข้า-ออก

แต่สิ่งที่หลายคนน่าจะสงสัยเหมือนกันก็คือ “แล้ว 7 หัวทำงานยังไง? ” หรือว่า ” มันทำงานพร้อมกันไหม? ” คำตอบคือ H2C มี hot-end slots สำหรับเปลี่ยนหัวได้หลายอัน แต่หัวที่ active พร้อมกันจะเป็น
dual-nozzle ซึ่งก็คือหัวซ้าย 1 หัวจะเป็นหัวที่อยู่กับที่ ส่วนฝั่งขวาจะเป็นหัวที่สามารถเปลี่ยเข้าออกได้อีก 6 หัว ทำงานง่ายๆไม่ซับซ้อนคือเครื่องจะหยิบหัวที่ต้องใช้ เอามาทำความร้อนและพิมพ์งาน จากนั้นเอา
ไปเก็บที่เดิมและหยิบหัวอื่นในลำดับถัดไปตามสีที่ตั้งค่า เอามาทำความร้อนและพิมพ์ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนพิมพ์เสร็จ ถ้าอยากเข้าใจและดูการทำงานของระบบ Vortek แบบลงลึกอ่านได้ที่นี่เลยครับ

Induction Heating : ทำความหัวฉีดร้อนแบบไร้สาย
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ H2C ยกระดับจากรุ่นก่อน ๆ คือ Contactless design หรือก็คือการออกแบบหัวฉีดฝั่งที่ต้องเปลี่ยนเข้าออกให้ล้ำกว่าเดิมมาก ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ระบบ Non-Contact Inductive
Receiving Plate ที่สามารถส่งสัญญาณได้โดยไม่ต้องมีการเสียบสาย ทำให้หัวฉีดสามารถถอดเข้า-ออกได้สะดวก แถมยังเป็น Magnetic Lock ที่ล็อคตำแหน่งด้วยแม่เหล็ก ทำให้มีความแม่นยำสูง

และยังล้ำขึ้นอีกด้วยการเปลี่ยนระบบการให้ความร้อนจากแบบเก่าที่ต้องเสียบสายให้ความร้อนผ่านขดลวดทองแดงมาเป็น การให้ความร้อนแบบไร้สายด้วยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เรียกว่า Induction
heating ซึ่งสามารถ Heat ได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีกภายในเวลา 8 วินาทีเท่านั้น ทำให้กระบวนการเปลี่ยนหัวจนพิมพ์ได้กินเวลาประมาณ 22 วินาทีเท่านั้น

ข้อดีของระบบนี้มีหลายอย่าง เริ่มจากความเสถียรของสัญญาณที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงหัวฉีดเสียหายจากการสึกหรอของ contact pin เวลาเปลี่ยนเข้า-ออก และยังช่วยให้การรักษาอุณหภูมิของแต่ละหัว
ให้คงที่ ทำให้ชิ้นงานออกมาคุณภาพสูง ลดโอกาสบิดงอ หรือพรุนจากอุณหภูมิไม่สม่ำเสมอ

จดจำวัสดุในแต่ละหัวพิมพ์แต่ละหัว
เครื่องพิมพ์หลายสี/วัสดุ ชื่อนี้ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ H2C มีความสามารถในการจดจำวัสดุของหัวพิมพ์แต่ละหัวได้อย่างแม่นยำ ทุกครั้งที่เราสลับไปใช้หัวฉีดตัวเดิม ระบบจะรู้ทันทีว่าหัวนั้นเคยใช้วัสดุอะไร
ต้องตั้งค่าอุณหภูมิเท่าไหร่ และต้องใช้โปรไฟล์การพิมพ์แบบไหน ทำให้ลดความผิดพลาดจากการตั้งค่าผิดโดยเฉพาะเวลาที่ต้องสลับวัสดุหลายรอบระหว่างงานเดียว

และด้วยรองรับวัสดุได้หลากหลายนี้เอง ไอเดียการพิมพ์งานแบบ “ผสมวัสดุ” ก็ทำได้อย่างอิสระยิ่งกว่าเดิม เช่นพิมพ์ตัวโมเดลหุ่นยนต์ด้วย PLA เพื่อความแข็งแรง แต่พิมพ์ส่วนข้อต่อด้วย TPU
เพื่อให้ยืดหยุ่น

ทำงานต้นแบบที่ต้องการผิวสวยด้วย PLA พร้อมส่วนประกอบภายในที่ใช้ PETG เพื่อความทนทาน

พิมพ์งานโครงสร้าง PLA ผสานกับ Support แบบละลายน้ำอย่าง PVA หรือ BVOH

เสียเส้ยน้อยลง พิมพ์ไวกว่าเดิม
ตัวระบบการสลับหัวฉีดนี้เองที่ผมมองว่าทำให้ H2C เครื่องพิมพ์หลายสี/วัสดุ ที่แท้จริง เพราะระบบการสลับหัวฉีดนี้เป็นการเปลี่ยนหัวไป-มา ตามสี/วัสดุที่ตั้งค่าไว้ โดยแบ่งหัวใครหัวมัน ทุกครั้งที่มีการสลับหัว
ก็จะเป็นการหยิบหัวที่มีเส้นค้างอยู่ในหัวแล้ว แต่ละสี/วัสดุก็จะใช้หัวเดิมไปตลอด ทุกครั้งที่มีกลารสลับจึงไม่จำเป็นต้อง Purge เส้นทิ้ง เพียงแค่ไปปาดที่ Tower นิดหน่อยแล้วพิมพ์ต่อได้เลย ถ้าเทียบกับ
รุ่นอื่นๆของ Bambu ที่มีการ Purge เส้นทิ้งผมมองว่าในแง่การผลิตโมเดลหลายสีอาจจะสิ้นเปลืองทั้งในเรื่องเวลาและวัสดุ ทำให้รู้สึกว่าพิมพ์ได้ แต่ก็อาจจะไม่คุ้ม ยังไม่ใช่เครื่องพิมพ์โมเดลหลายสีที่ใช้งาน
เชิงพานิชย์ได้จริง

H2C เหมาะกับใครบ้าง
แน่นนอนว่าหลักๆเลย ก็จะเหมาะกับงานโมเดลหลายสีหลายวัสดุ ที่อยากพิมพ์ให้จบในตัว ซึ่ง H2C เป็นเครื่องพิมพ์ใน H Series ถ้าดูจากเรื่องราคาค่าตัวและการออกแบบโครงสร้างเครื่อง ก็จะเน้นไปที่กลุ่ม
ลูกค้าลูกค้าที่นำไปใช้งานเชิงธุรกิจ เช่น

  • 3D Artist หรือสตูดิโอ ที่ทำโมเดลหลายสี หลายวัสดุ และหลาย texture
  • งานต้นแบบวิศวกรรมที่ต้องการพิมพ์ชิ้นส่วนหลายวัสดุพร้อมกัน เพื่อลดเวลาและลดขั้นตอนประกอบ
  • small-batch manufacturing หรือ custom parts ชิ้นงานหลายวัสดุหลายสีพร้อมกันก็ง่ายและแม่นยำ

หรือถ้าใครไม่ติดเรื่องงบ ตัวนี้ก็ถือว่าเป็นตัวจบในทุกด้านของ Bambu ตอนนี้แล้วครับ เพราะระบบ Multi-Nozzle และ workflow การพิมพ์หลายวัสดุของ H2C ช่วยให้สร้างชิ้นงานซับซ้อน
ลด post-processing และเพิ่มคุณภาพของงานทุกชิ้น เครื่องนี้จึงให้ทั้งความยืดหยุ่นสูง และประสิทธิภาพดีเยี่ยม

สรุปเลยนะครับถ้าแค่ดูจากคุณภาพงานที่ H2C ทำได้ถือว่าค่อนข้างว้าวเลย และจากไอเดียการพิมพ์ผสมสี/วัสดุ ทำให้เราคิดต่อยอดสร้างสรรค์งานได้อีกมากเลย และถ้ามาดูเบื้องหลังของระบบการพิมพ์
ที่อัพเกรดมาใหม่แบบล้ำๆไม่ว่าจะระบบสลับหัว การทำความร้อนแบบใหม่แบบไร้สาย การจำวัสดุในแต่ละหัว และเรื่องลดการ Purge เส้นที่ลดลง ก็เห็นได้ชัดเลยครับว่าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลย
แม้ว่าราคาจะไม่เบา แต่ถ้าเทียบกับเทคโนโลยีที่กระโดดขึ้นมาหลายอย่างก็ถือว่าคุ้มมมากๆเลยครับ สำหรับใครที่เน้นจบงานตั้งแต่การพิมพ์ตัวนี้รับรองว่าตอบโจทย์แน่นนอน