ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในวงการก่อสร้างมากขึ้น เครื่องมืออย่าง LiDAR (Light Detection and Ranging) จึงกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้การวางแผน ออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น LiDAR ทำงานโดยการปล่อยแสงเลเซอร์และวัดระยะเวลาที่แสงสะท้อนกลับมาจากพื้นผิวหรือวัตถุ เพื่อสร้างข้อมูลในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งเรียกว่า Point Cloud ที่แสดงรายละเอียดของสภาพแวดล้อมหรือโครงสร้างอย่างแม่นยำและรวดเร็ว

1. ความแม่นยำสูง
LiDAR ใช้เลเซอร์ในการวัดระยะทาง ซึ่งให้ค่าความแม่นยำสูงมาก (ในระดับเซนติเมตรหรือแม้แต่มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้) ต่างจากวิธีสำรวจแบบดั้งเดิม เช่น การใช้เทปวัดหรือกล้องสำรวจที่อาจมีข้อผิดพลาดจากมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม ในงานก่อสร้าง ความแม่นยำนี้ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดจากการวัดผิด เช่น การติดตั้งโครงสร้างผิดตำแหน่ง หรือการสั่งซื้อวัสดุเกินจำเป็น
2. เก็บข้อมูลได้รวดเร็ว
ระบบ LiDAR สามารถสแกนพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง โดยปล่อยเลเซอร์หลายแสนถึงล้านจุดต่อวินาที ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดของพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการวัดแบบ manual ที่อาจใช้เวลาหลายวัน การใช้ LiDAR จึงช่วยลดเวลาการสำรวจลงอย่างมาก และทำให้สามารถเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปของโครงการได้เร็วขึ้น
3. เก็บข้อมูลแบบ 3 มิติ
ข้อมูลที่ได้จาก LiDAR เป็นแบบ 3 มิติ (เรียกว่า Point Cloud) ซึ่งสามารถนำไปสร้างแบบจำลอง Digital Twin หรือโมเดล BIM (Building Information Modeling) ได้สิ่งนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถมองเห็นภาพรวมของไซต์งานได้ในมุมมองที่ชัดเจน และสามารถนำไปวางแผน วิเคราะห์ หรือตรวจสอบโครงสร้างได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น ตรวจดูว่าผนังตรงจริงหรือไม่ หรือพื้นที่มีความเอียงหรือบิดเบี้ยวอย่างไร
4. ทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน
LiDAR สามารถสแกนโดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุหรือเข้าถึงพื้นที่โดยตรง จึงเหมาะมากกับพื้นที่ที่อันตราย เช่น พื้นที่สูง พื้นที่แคบ หรือโครงสร้างที่ยังไม่มั่นคง นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาพแสงน้อยหรือกลางคืน ซึ่งทำให้สามารถทำงานสำรวจได้ยืดหยุ่นและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการก่อสร้างที่มีข้อจำกัดด้านเวลาและความปลอดภัย
5. เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบคุณภาพ
เมื่อได้ข้อมูลจาก LiDAR แล้ว เราสามารถนำมาซ้อนทับกับแบบ CAD หรือ BIM เดิม เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่สร้างจริงตรงตามแบบที่ออกแบบไว้หรือไม่ เช่น ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้าง เสา คาน ผนัง ฯลฯ การตรวจสอบแบบนี้ทำได้แบบเรียลไทม์หรือเกือบทันทีหลังจากการสแกน ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสะสมและช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป
6. ลดข้อผิดพลาดจากการวัดแบบดั้งเดิม
การวัดแบบ manual หรือการใช้กล้องสำรวจบางชนิด อาจมีข้อผิดพลาดได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น มุมมองที่จำกัด ความเหนื่อยล้าของผู้ปฏิบัติงาน หรือการตีความข้อมูลผิด LiDAR ช่วยลดข้อผิดพลาดเหล่านี้ เพราะเป็นการเก็บข้อมูลอัตโนมัติในรูปแบบดิจิทัล ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล และสามารถนำกลับมาตรวจสอบซ้ำภายหลังได้โดยไม่ต้องกลับไปหน้างานอีก
7. สนับสนุนการทำงานร่วมกัน
ข้อมูล 3 มิติที่ได้จาก LiDAR สามารถส่งต่อไปยังทีมออกแบบ วิศวกร ผู้รับเหมา หรือฝ่ายบริหารโครงการได้ทันทีในรูปแบบดิจิทัล ช่วยให้ทุกฝ่ายมีข้อมูลที่ตรงกัน ตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดความสับสนที่เกิดจากการใช้ข้อมูลหลายเวอร์ชัน นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์เพื่อทำงานร่วมกันระยะไกลได้ง่ายขึ้น
-
Space Capture
Eagle LiDAR Scanner with RTK Module | เครื่องสแกนพื้นที่ สำรวจพื้นที่ Space Capture
169,900.00 ฿ Add to cart -
LaserSpace Capture
SLAM100 Handheld Lidar Scanner | Space Capture แบบมือถือระดับโปรเครื่องแรกที่ต่ำกว่าล้าน
779,000.00 ฿ Add to cart -
Matterport Axis Gimbal + Tripod สำหรับถ่ายภาพ 360
4,490.00 ฿ Add to cart -
Space Capture
GALOIS M2 (Realsee) | กล้องเก็บภาพ 3มิติระดับสูง 3D Professional LiDAR Camera
Original price was: 299,000.00 ฿.249,000.00 ฿Current price is: 249,000.00 ฿. Add to cart