7 จุดเด่น Lidar สแกนในงานก่อสร้าง หรือสถาปัตยกรรม

7 จุดเด่น Lidar สแกนในงานก่อสร้าง หรือสถาปัตยกรรม

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในวงการก่อสร้างมากขึ้น เครื่องมืออย่าง LiDAR (Light Detection and Ranging) จึงกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้การวางแผน ออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น LiDAR ทำงานโดยการปล่อยแสงเลเซอร์และวัดระยะเวลาที่แสงสะท้อนกลับมาจากพื้นผิวหรือวัตถุ เพื่อสร้างข้อมูลในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งเรียกว่า Point Cloud ที่แสดงรายละเอียดของสภาพแวดล้อมหรือโครงสร้างอย่างแม่นยำและรวดเร็ว 

Data collected by Eagle 3D scanner. Image via 3DMakerpro.


1. ความแม่นยำสูง

LiDAR ใช้เลเซอร์ในการวัดระยะทาง ซึ่งให้ค่าความแม่นยำสูงมาก (ในระดับเซนติเมตรหรือแม้แต่มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้) ต่างจากวิธีสำรวจแบบดั้งเดิม เช่น การใช้เทปวัดหรือกล้องสำรวจที่อาจมีข้อผิดพลาดจากมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม ในงานก่อสร้าง ความแม่นยำนี้ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดจากการวัดผิด เช่น การติดตั้งโครงสร้างผิดตำแหน่ง หรือการสั่งซื้อวัสดุเกินจำเป็น

2. เก็บข้อมูลได้รวดเร็ว

ระบบ LiDAR สามารถสแกนพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง โดยปล่อยเลเซอร์หลายแสนถึงล้านจุดต่อวินาที ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดของพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการวัดแบบ manual ที่อาจใช้เวลาหลายวัน การใช้ LiDAR จึงช่วยลดเวลาการสำรวจลงอย่างมาก และทำให้สามารถเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปของโครงการได้เร็วขึ้น

3. เก็บข้อมูลแบบ 3 มิติ

ข้อมูลที่ได้จาก LiDAR เป็นแบบ 3 มิติ (เรียกว่า Point Cloud) ซึ่งสามารถนำไปสร้างแบบจำลอง Digital Twin หรือโมเดล BIM (Building Information Modeling) ได้สิ่งนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถมองเห็นภาพรวมของไซต์งานได้ในมุมมองที่ชัดเจน และสามารถนำไปวางแผน วิเคราะห์ หรือตรวจสอบโครงสร้างได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น ตรวจดูว่าผนังตรงจริงหรือไม่ หรือพื้นที่มีความเอียงหรือบิดเบี้ยวอย่างไร

4. ทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน

LiDAR สามารถสแกนโดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุหรือเข้าถึงพื้นที่โดยตรง จึงเหมาะมากกับพื้นที่ที่อันตราย เช่น พื้นที่สูง พื้นที่แคบ หรือโครงสร้างที่ยังไม่มั่นคง นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาพแสงน้อยหรือกลางคืน ซึ่งทำให้สามารถทำงานสำรวจได้ยืดหยุ่นและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการก่อสร้างที่มีข้อจำกัดด้านเวลาและความปลอดภัย

5. เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบคุณภาพ

เมื่อได้ข้อมูลจาก LiDAR แล้ว เราสามารถนำมาซ้อนทับกับแบบ CAD หรือ BIM เดิม เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่สร้างจริงตรงตามแบบที่ออกแบบไว้หรือไม่ เช่น ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้าง เสา คาน ผนัง ฯลฯ การตรวจสอบแบบนี้ทำได้แบบเรียลไทม์หรือเกือบทันทีหลังจากการสแกน ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสะสมและช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป

6. ลดข้อผิดพลาดจากการวัดแบบดั้งเดิม

การวัดแบบ manual หรือการใช้กล้องสำรวจบางชนิด อาจมีข้อผิดพลาดได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น มุมมองที่จำกัด ความเหนื่อยล้าของผู้ปฏิบัติงาน หรือการตีความข้อมูลผิด LiDAR ช่วยลดข้อผิดพลาดเหล่านี้ เพราะเป็นการเก็บข้อมูลอัตโนมัติในรูปแบบดิจิทัล ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล และสามารถนำกลับมาตรวจสอบซ้ำภายหลังได้โดยไม่ต้องกลับไปหน้างานอีก

7. สนับสนุนการทำงานร่วมกัน

ข้อมูล 3 มิติที่ได้จาก LiDAR สามารถส่งต่อไปยังทีมออกแบบ วิศวกร ผู้รับเหมา หรือฝ่ายบริหารโครงการได้ทันทีในรูปแบบดิจิทัล ช่วยให้ทุกฝ่ายมีข้อมูลที่ตรงกัน ตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดความสับสนที่เกิดจากการใช้ข้อมูลหลายเวอร์ชัน นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์เพื่อทำงานร่วมกันระยะไกลได้ง่ายขึ้น