Setting ให้ PETG พิมพ์ได้ปังอย่างเห็นได้ชัด

Setting ให้ PETG พิมพ์ได้ปังอย่างเห็นได้ชัด

พบกับการตั้งค่าการพิมพ์ PETG ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานของคุณเพียงปรับอุณหภูมิ ความเร็วในการพิมพ์ และการตั้งค่า retraction!

ข้ามไปยังหัวข้อที่สนใจ

หากคุณเคยพิมพ์ด้วย PLA เพียงอย่างเดียว คุณก็อาจจะพลาดประโยชน์มากมายของเส้น PETG ไม่เพียงแต่ PETG แข็งแกร่งกว่า ยืดหยุ่นกว่า PLA ทำให้งานพิมพ์มีความทนทาน และแตกหักน้อยกว่าเท่านั้น แต่ PETG ยังป้องกันความชื้น แสงแดด และแม้กระทั่งสารเคมีอื่นๆ เช่น น้ำมันหรือแอลกอฮอล์ที่อาจทำอันตรายต่อ PLA ได้อีกด้วย

PETG ช่วยให้งานพิมพ์ 3 มิติของคุณใช้งานจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ต้องการความแข็งแรงที่มากขึ้น งานที่ใช้กลางแจ้ง หรืองานอื่นๆ ที่ต้องการความทนทานยาวนานขึ้น อย่างไรก็ตาม การพิมพ์ PETG อาจต้องอาศัยการปรับแต่งค่าการพิมพ์เล็กน้อย ซึ่งเราจะกล่าวถึงต่อไปในบทความ แต่เมื่อปรับแต่งแล้ว คุณจะพบว่า PETG ใช้งานได้เหมือน PLA แต่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า

ในบทความนี้ เราจะครอบคลุมทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เพื่อให้ได้งานพิมพ์ PETG ที่ดีที่สุด ตั้งแต่การตั้งค่าเครื่องพิมพ์ไปจนถึงเคล็ดลับในการ slice เรามีทุกอย่างให้คุณ

ค่าการพิมพ์ที่สร้างปัญหาของ PETG

เส้นใยแมงมุมเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า PETG ของคุณชื้น หรือการตั้งค่าของคุณจำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยน (ที่มา: Bambu Lab)

ถึงแม้ PETG จะเป็นวัสดุที่ค่อนข้างได้รับความนิยม แต่การพิมพ์ก็อาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นมือใหม่ ความจริงก็คือ การตั้งค่าสำหรับเครื่องพิมพ์หนึ่งหรือ PETG ยี่ห้อหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีผลดีกับ เครื่องพิมพ์ยี่ห้ออื่นเสมอไป นี่คือเหตุผลที่ผู้ใช้งานหลายรายเลือกใช้ PETG ที่เป็นยี่ห้อโปรดของตน และไม่เปลี่ยนยี่ห้ออื่น

นอกจากนี้ ยังมี PETG หลายประเภท ตั้งแต่แบบโปร่งแสงไปจนถึงแบบที่ผสมคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโพลิเมอร์คนละชนิดกันเลยเมื่อนำมาใช้พิมพ์

บ่อยครั้งที่การตั้งค่าการพิมพ์ PETG มักจะเป็นเพียงแค่แนวทางในการปฏิบัติ คุณจะต้องปรับพารามิเตอร์การพิมพ์บางอย่างเพื่อให้ได้การตั้งค่าที่ดีที่สุดสำหรับเครื่องพิมพ์ของคุณ การปรับแต่งที่คุณจะทำมีตั้งแต่อุณหภูมิหัวฉีด อุณหภูมิฐานพิมพ์ ความเร็วการพิมพ์ ไปจนถึงความเร็วพัดลม

ลองดูการตั้งค่าการพิมพ์สำหรับเส้น PETG ยอดนิยมเหล่านี้

Bambu Lab PETG โปร่งแสง Prusament PETG สีส้ม โพลีเมคเกอร์ โพลีแม็กซ์ พีทีจี ฟอร์มฟิวเจอร์ อีซี่ฟิล อีพีทีจี
อุณหภูมิหัวฉีด  230- 260 °C 250 ±10 °C 230 – 260 °C ± 235 – 275°C
อุณหภูมิฐานพิมพ์ 65 – 75 °C 80 ±10 °C 70 – 80 °C ± 70 – 90°C
ความเร็วในการพิมพ์ < 220 มม./วินาที สูงถึง ~200 มม./วินาที 30 – 50 มม./วินาที 600 มม./วินาที
ความเร็วพัดลมระบายความร้อน  0 – 30% 50% 0 – 20% 0 – 60%

กลับไปที่เมนู 🔝


การจัดการแท่นพิมพ์

ผู้ใช้บางรายพบว่า PETG อาจยึดติดกับแท่นกระจกมากเกินไป (ที่มา: pagonda ผ่าน Reddit )

การพิมพ์ด้วย PETG แตกต่างจากการพิมพ์ด้วย PLA เล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเพราะมันติดกับฐานพิมพ์แน่นมาก หากคุณไม่ได้เตรียมพื้นผิวให้เรียบร้อย งานพิมพ์อาจเกาะติดพื้นผิวอย่างแน่นหนาจนฉีกแผ่น PEI เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรืออาจติดเป็นแผ่นกระจกเป็นเนื้อเดียวกันก็ได้

เคล็ดลับคือการเอาอะไรบางอย่างให้มันติดแน่นแทน เช่น กาวแท่งทาบาง ๆ หรือแม้แต่สเปรย์ฉีดผมก็ช่วยได้ มันเป็นเกราะป้องกันฐานพิมพ์— มันช่วยให้มั่นใจว่างานพิมพ์จะติดแน่นขณะที่คุณพิมพ์ แต่ยังคงลอกออกได้อย่างสะอาดหมดจดหลังพิมพ์

การรักษาความสะอาดของฐานพิมพ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน น้ำอุ่นผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อยมักจะได้ผลดีกว่าไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ เพราะอาจกระจายคราบสกปรกแทนที่จะกำจัดออกไป คุณควรยกหัวฉีดให้สูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ PLA เพราะ PETG ไม่ชอบถูกอัดไปกับฐานพิมพ์ ถ้าชั้นแรกชิดมาก มันจะยึดติดแน่นเกินไป

สำหรับพื้นผิวชนิด PEI แบบมีลวดลายมักจะเป็นตัวเลือกที่ง่าย และปลอดภัยที่สุด ชิ้นส่วนยึดเกาะได้ดีระหว่างการพิมพ์ และจะหลุดออกได้อย่างสวยงามเมื่อฐานพิมพ์เย็นลง PEI แบบเรียบ หรือกระจกก็ใช้ได้เช่นกัน แต่ต้องทากาวแท่งก่อนเท่านั้น อย่าพิมพ์ PETG ลงไปโดยตรง มิฉะนั้นจะเสี่ยงต่อการติดแน่นถาวร กระจกจะให้พื้นผิวมันวาวที่ด้านล่าง แต่จะแกะยากหากลืมทากาว

กลับไปที่เมนู 🔝


การอบ PETG ให้แห้งก่อนพิมพ์

การทำให้แห้งและการจัดเก็บเส้น PETG อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ (ที่มา: PolyMaker)

PETG เป็นหนึ่งในเส้นพลาสติกที่สามารถดูดความชื้นจากอากาศได้ดี คุณอาจจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ทันที แต่เมื่อมันดูดความชื้นได้มากพอ ปัญหาต่าง ๆ จะเริ่มปรากฏให้เห็นในงานพิมพ์ของคุณ คุณจะได้ยินเสียงป๊อป และเสียงแตกที่หัวฉีด เห็นฟองอากาศเล็กๆ ในหัวฉีด หรือสุดท้ายเกิดเส้นใยแมงมุม และเลเยอร์ที่ไม่แข็งแรง ม้วนที่ดูดีจากภายนอกก็อาจเก็บความชื้นไว้มากจนทำให้ผลงานพิมพ์ของคุณเสียหายได้

ด้วยเหตุนี้ การทำให้เส้น PETG แห้งก่อนใช้งานจึงเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากม้วนนั้นถูกทิ้งไว้ในห้องที่มีความชื้นเป็นเวลานานกว่าสองสามวัน วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องอบเส้น หรือเครื่องอบแห้งอาหารที่สามารถรักษาอุณหภูมิให้คงที่ได้ประมาณ 65-70 องศาเซลเซียส หากไม่มี เตาอบธรรมดาก็ใช้ได้เช่นกัน แต่คุณควรระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิ และระวังอย่าให้อุณหภูมิสูงเกินไป การอบให้แห้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เพียงพอที่จะทำให้เส้นพลาสติกม้วนนั้นกลับมาอยู่ในสภาพดีอีกครั้ง

เมื่ออบแห้งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเก็บให้แห้งอยู่เสมอ การเก็บ PETG ไว้ในภาชนะปิดสนิทพร้อมสารดูดความชื้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการอบแห้งบ่อย ๆ บางคนถึงกับพิมพ์โดยตรงจากกล่องแห้งเพื่อรักษาความสม่ำเสมอ แม้ว่าบางครั้งคุณอาจพิมพ์ PETG โดยตรงจากม้วนที่เปิดใหม่ ๆ แต่การคิดว่า PETG เป็นเสมือนวัสดุที่ควรแห้งสนิทอยู่เสมอ จะช่วยลดความหงุดหงิดในระยะยาวได้มาก

กลับไปที่เมนู 🔝


อุณหภูมิ, retraction, และการเกิดใยแมงมุม

PETG มีแนวโน้มที่จะเกิดใยแมงมุม (ที่มา: SalientOmnivore ผ่าน Reddit )

การตั้งค่าอุณหภูมิ และการดึงกลับ (Retraction) สำหรับการพิมพ์ PETG มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก ลองมาดูรายละเอียดแต่ละอย่างโดยละเอียดกัน:

อุณหภูมิและประเภทของหัวฉีด

อุณหภูมิหัวฉีดมีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพการพิมพ์ PETG หากอุณหภูมิสูงเกินไป หัวฉีดจะเกิดใยแมงมุม และพลาสติกไหลย้อยออกมาจากหัวฉีดจำนวนมาก แต่หากอุณหภูมิต่ำเกินไป หัวฉีดจะเริ่มมีอาการเส้นขาดเป็นช่วง ๆ

ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อุณหภูมิการพิมพ์จะเป็นช่วงอุณหภูมิ เริ่มต้นด้วยอุณหภูมิที่ต่ำเช่น 220 องศาเซลเซียส แล้วทดสอบพิมพ์หากได้ยินเสียงแต๊ก ๆ ระหว่างการพิมพ์ แสดงว่าหัวฉีดกำลังสะดุด ควรเพิ่มอุณหภูมิหัวฉีดขึ้นอีก 5 องศาเซลเซียส ทดสอบซ้ำจนกว่าหัวฉีดจะไม่สะดุด

เมื่อพิมพ์ที่อุณหภูมิสูงเกินไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดเส้นใยแมงมุม และพลาสติกย้อยออกมา และเนื่องจาก PETG เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง จึงทำให้กำจัดใยแมงมุมออกได้ยาก หากอุณหภูมิการพิมพ์ของคุณอยู่ในระดับต่ำสุดโดยที่หัวฉีดไม่สะดุดแล้ว แต่ยังคงมีใยแมงมุมอยู่ ให้ลองปรับการตั้งค่าการดึงเส้นกลับ

เมื่อพิมพ์ด้วย PETG หัวพิมพ์จะต้องทำงานหนักกว่า PLA เล็กน้อย โดยปกติแล้วอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 230 ถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้นหัวพิมพ์แบบโลหะล้วน จะมีเสถียรภาพกว่า และปลอดภัยที่สุด ท่อ PTFE อาจเสื่อมสภาพได้หากพิมพ์ด้วยความร้อนสูงเกินไปเป็นเวลานาน และ PETG ต้องการส่วนที่ทำละลาย และการระบายความร้อนที่ Heat Break ที่ดี เพื่อป้องกันอาการหัวตัน

หัวฉีดทองเหลืองสามารถใช้กับ PETG ธรรมดา แต่หากคุณใช้ PETG ที่ผสมคาร์บอนไฟเบอร์ สารเรืองแสง หรือผสมโลหะ คุณจะต้องใช้หัวฉีดแบบเหล็กกล้าชุบแข็ง หรือแบบเคลือบพิเศษเพื่อให้ทนต่อการเสียดสีมากขึ้น หากคุณวางแผนที่จะพิมพ์อย่างรวดเร็ว หัวฉีดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เช่น 0.6 มม. จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นโดยปล่อยให้เส้นใยไหลผ่านโดยไม่ทำให้หัวพิมพ์ชุดทำความร้อนรับงานมากเกินไป และเนื่องจาก PETG อาจมีความเหนียวเล็กน้อย ควรทำให้หัวฉีดของคุณสะอาดอยู่เสมอด้วยการดึงเย็น (cold pull) เป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของคราบสกปรกขณะพิมพ์

กลับไปที่เมนู 🔝


การตั้งค่าดึงกลับ (Retraction) ที่ถูกต้องสำหรับ PETG

การออกแบบตะกร้าผลไม้ที่มีความแข็งแรงโดย KenPrint3D ผ่านทาง Bambu Lab (ที่มา: Bambu Lab)

อย่าใช้ความเร็วสูงในการพิมพ์ PETG (เว้นแต่เส้น PETG ของคุณจะถูกผลิตมาเป็นพิเศษเพื่อความเร็วสูง เช่น Speed PETG) ความเร็วสูงอาจใช้ได้กับ ABS และ PLA แต่ใช้กับ PETG ส่วนใหญ่ไม่ได้ ให้ตั้งค่าความเร็วในการดึงกลับไว้ที่ประมาณ 25 มม./วินาที สำหรับทั้งเครื่องแบบ Bowden และเครื่องแบบขับ Direct drive ระยะดึงกลับควรตั้งไว้ที่ประมาณ 6 ถึง 7 มิลลิเมตรสำหรับเครื่องแบบ Bowden และ 3 ถึง 4 มิลลิเมตรสำหรับเครื่องแบบDirect drive สำหรับ PETG ความเร็วในการดึงกลับมีความสำคัญมากกว่าระยะทาง หากยังมีการย้อยหรือเส้นใยแมงมุม ให้ลองลดความเร็วในการดึงกลับลง

หากคุณยังคงพบปัญหาการดึงกลับหลังจากปรับการตั้งค่าหลาย ๆ แล้ว คุณสามารถตรวจสอบความตึงของเส้น และปรับเฟืองหัวฉีดให้แน่นดีแล้ว ก็ไม่ควรดึงเส้นเส้นพลาสติกออกง่ายเกินไป

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยลดการย้อยคือความเร็วในการเคลื่อนที่ (Travel speed) PETG มีแนวโน้มที่จะย้อย หยดลงมาจากปลายหัวฉีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอุณหภูมิหัวฉีดสูง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ลองเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้

กลับไปที่เมนู 🔝


เครื่องที่เป็นตู้ปิด, ความเร็วพัดลม และการระบายความร้อน

พัดลมระบายความร้อนของงานพิมพ์ช่วยให้ชิ้นงานเย็นลง

PETG ไม่จำเป็นต้องมีตู้ปิดแบบ ABS หรือไนลอน ข้อดีอย่างหนึ่งของ PETG คือ มีโอกาสบิดงอและแตกน้อยกว่ามาก คุณจึงสามารถพิมพ์งานได้สวยคมบนเครื่องพิมพ์แบบเฟรมเปิด โดยไม่ต้องกังวลว่าลมโกรกจะทำให้เลเยอร์เสียหาย อันที่จริงเครื่องพิมพ์แบบปิดมิดชิดบางครั้งอาจทำให้ PETG มีปัญหาได้เหมือนกัน เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เส้นพลาสกติกอ่อนตัวลง หรือเกิดการเส้นใยแมงมุม หากห้องพิมพ์ร้อนเกินไป

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตู้ปิดก็ยังไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หากคุณพิมพ์ในบริเวณที่เย็นมาก หรือมีลมโกรก การรักษาอากาศรอบงานพิมพ์ให้คงที่จะช่วยให้ผิวงาน และการเชื่อมกันของเลเยอร์ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันฝุ่นจากงานพิมพ์ และลดเสียงรบกวน ซึ่งบางคนก็ชอบแบบนั้น แต่พูดกันตามตรงแล้ว PETG สามารถพิมพ์ได้ดีโดยไม่ต้องใช้ตู้ปิด และสำหรับผู้ใช้เป็นงานอดิเรกส่วนใหญ่ การเปิดเครื่องพิมพ์ทิ้งไว้ก็ไม่เป็นปัญหาใด ๆ

PETG ส่วนใหญ่จะพิมพ์ได้สวยโดยไม่ต้องใช้พัดลม ต่างจากวัสดุอื่นๆ ที่ต้องใช้พัดลมในการพิมพ์ PETG สามารถทำได้ดีกว่าโดยไม่ต้องใช้พัดลม แต่… ขึ้นอยู่กับประเภทและยี่ห้อของ PETG ที่คุณใช้ หากคุณสังเกตเห็นรอยแตกและแยกชั้นในงานพิมพ์ ให้ปิดพัดลม เพราะการพิมพ์โดยไม่ใช้พัดลมจะเพิ่มการยึดเกาะของชั้นวัสดุได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม โมเดลที่มีเวลาพิมพ์ต่อชั้น (layer time) น้อย พัดลมระบายความร้อนอาจมีประโยชน์ ลองตั้งพัดลมไว้ที่ 20% ถึง 50% เพื่อช่วยให้ชั้นต่างๆ เย็นลง พัดลมยังมีประโยชน์หากคุณต้องให้งานมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น  หรือหากมีการพิมพ์แบบบริดจ์ในชิ้นงาน

กลับไปที่เมนู 🔝


การตั้งค่าซัพพอร์ตสำหรับ PETG

ตัวซัพพอร์ตชนิด PVA ที่ละลายน้ำได้ทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้น (ที่มา: UltiMaker )

เมื่อพิมพ์ด้วย PETG การตัดสินใจว่าจะใช้ซัพพอร์ตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย PETG มีความแข็งแรงทนทาน แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดใยแมงมุม และละลายติดกับตัวซัพพอร์ตเอง ซึ่งหมายความว่าบางครั้งตัวซัพพอร์ตอาจยึดติดแน่นกว่าที่ควร หากโมเดลของคุณจำเป็นต้องใช้ซัพพอร์ตจริงๆ เช่น สำหรับส่วนที่ยื่นออกมายาว หรือส่วนที่เป็นสะพานเชื่อมที่เครื่องพิมพ์ของคุณไม่สามารถพิมพ์ได้อย่างเรียบร้อย การเพิ่มตัวซัพพิร์ตจะดีกว่าการเสี่ยงกับความล้มเหลวของงานพิมพ์ อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถปรับทิศทางชิ้นงาน หรือแยกชิ้นงานออกเป็นหลายชิ้นได้ ก็มักจะคุ้มค่าที่จะทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ซัพพอร์ตโดยสิ้นเชิง การแกะซัพพอร์ตแบบ PETG ไม่ได้ถูกแกะออกอย่างเรียบร้อยเสมอไป และการแกะซัพพอร์ตออกอาจทำให้มีรอยแผลเป็นบนพื้นผิว

หากคุณจำเป็นต้องใช้จริง ๆ การทำให้การแกะซัพพอร์ตออกง่ายที่สุดด้วยการเพิ่มระยะแกน Z เหนือซัพพอร์ต (Top Z distance) เล็กน้อยจะเพิ่มช่องว่างระหว่างซัพพอร์ต และชิ้นงานพิมพ์ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่ซัพพอร์ตจะเชื่อมติดกันกับชิ้นงานจนแกะไม่ออก นอกจากนี้ยังสามารถทดลองใช้รูปแบบซัพพอร์ตอื่น ๆ ได้อีก รูปแบบตารางหรือซิกแซกมีแนวโน้มที่จะแกะได้ง่ายกว่าแบบที่หนาแน่นสูง การลดความถี่ของซัพพอร์ตก็ช่วยได้เช่นกัน เนื่องจาก PETG มีความแข็งแรงเพียงพอ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ซัพพอร์ตจำนวนมาก

หากคุณใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบหัวฉีดคู่ เช่น Bambu Lab H2D คุณสามารถใช้เส้นที่ละลายน้ำได้ เช่น PVA หรือ HIPS

เมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว ควรแกะซัพพอร์ตออกหลังจากที่ชิ้นส่วนเย็นลงแล้ว เนื่องจาก PETG ยังคงมีความยืดหยุ่นเล็กน้อยเมื่อมันอุ่น ซึ่งอาจทำให้เกิดการฉีกขาด หรือโก่งงอตรงตำแหน่งที่ซัพพอร์ตติดอยู่ การใช้คีมหรือคัตเตอร์แบบเรียบจะช่วยให้คุณควบคุมรอยตัดได้ดีกว่าการหักออกด้วยมือ หากยังมีชิ้นส่วนซัพพอร์ตเล็กๆ ติดค้างอยู่ การขัดเบาๆ หรือตัดแต่งด้วยมีดคมๆ จะช่วยให้ผิวเรียบขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติที่จะพบความหยาบเล็กน้อยตรงตำแหน่งที่ซัพพอร์ตสัมผัสกับโมเดล แต่การตั้งค่าการ Slicing อย่างระมัดระวังและการค่อย ๆ ถอดออกอย่างใจเย็นจะช่วยลดความเสียหายได้

กลับไปที่เมนู 🔝


PETG ธรรมดา และ High-speed PETG ความเร็วสูง

หากคุณเลือกการตั้งค่าการพิมพ์สำหรับ PETG ขณะที่กำลังพิมพ์ด้วย PETG ความเร็วสูง อาจจะไม่ได้ผลงานอย่างที่ต้องการ ต้องปรับอุณหภูมิ และการระบายความร้อนที่เป็นของ Speed PETG (ที่มา: Creality)

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว PETG มีความไวต่อความเร็วในการพิมพ์มาก หากพิมพ์เร็วเกินไป จะทำให้การยึดเกาะของเลเยอร์ไม่ดี หัวฉีดสะดุด และคุณภาพงานพิมพ์ต่ำ แต่ถ้าพิมพ์ช้าเกินไป ชิ้นส่วนจะเสียรูป ม้วนงอ และมีพลาสติกย้อยออกมาจากหัวฉีด

จำเป็นต้องหาจุดที่เหมาะสมที่สุดระหว่างเครื่องพิมพ์และเส้นพลาสติกที่คุณกำลังใช้ ควรเริ่มต้นด้วยความเร็วในการพิมพ์ต่ำ เราแนะนำให้เริ่มต้นที่ 15 มม./วินาที และค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น การเคลื่อนที่ขณะไม่ได้ฉีดพลาสติก (travel speed) ควรเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย 120 มม./วินาที เพื่อป้องกันการย้อย

PETG ความเร็วสูงคืออะไร

มีเส้น PETG ความเร็วสูงหลากหลายชนิดที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ผลิตต่างๆ เช่น Bambu Lab, Flashforge, 3DD และอื่นๆ “PETG ความเร็วสูง” (บางครั้งเรียกว่า PETG HS, PETG HF, PETG High Flow ฯลฯ) หมายถึงสูตร PETG ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนในส่วนของส่วนผสมของโพลิเมอร์ สารเติมแต่ง และอาจรวมถึงการปรับค่าความคลาดเคลื่อนให้แคบลง เพื่อให้เส้นพลาสติกสามารถหลอมละลาย ไหล เย็นตัว และยึดติดได้อย่างเหมาะสม แม้ในขณะที่ความเร็วในการพิมพ์ หรืออัตราการไหลเชิงปริมาตรสูงขึ้น เป้าหมายคือการพิมพ์ชิ้นงานจำนวนมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง โดยไม่สูญเสียความแข็งแรง และคุณภาพพื้นผิว

esun PETG+HS PETG Pro Flashforge Bambu Lab PETG HF AzureFilm PETG HS 3DD Speed PETG
อุณหภูมิหัวฉีด  220 – 260°C 240 – 260 °C 230 – 260 °C 220 – 240°C. 220-260°C
อุณหภูมิฐานพิมพ์ 75 – 90 °C 50-80 °C 65 – 75 °C 80°C 75-90°C
ความเร็วในการพิมพ์ 40 – 300 มม./วินาที 60 – 600 มม./วินาที < 300 มม./วินาที สูงถึง 1,000 มม./วินาที 230–350 มม./วินาที
พัดลมระบายความร้อน 100% n/a 0 – 60% n/a 0 – 80%

การใช้ PETG ความเร็วสูงอาจเป็นเรื่องดี แต่มีข้อควรระวังบางประการ:

การใช้ PETG ความเร็วสูงสามารถให้ผลงานที่ดีเลิศได้ แต่มีข้อควรระวังที่สำคัญบางประการที่ควรคำนึงถึง (แม้จะเลือกใช้เส้นที่มีประสิทธิภาพสูง) เครื่องพิมพ์และเส้นของคุณก็ต้องสามารถทำงานด้วยได้ทัน ชุดหัวพิมพ์ต้องละลายและดันวัสดุได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ซึ่งหมายความว่าต้องใช้ความร้อนสูงและเส้นทางการไหลของเส้นพลาสติกที่ราบรื่น คล่องตัว นอกจากนี้ ชุดหัวพิมพ์ยังต้องสามารถป้อนเส้นได้ในอัตราไหลสูงโดยเฟืองจับเส้นได้ไม่หลุดหรือขัดเส้นจนสึก นอกจากนี้ ระบบระบายความร้อนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นพัดลมระบายความร้อนแบบ Part Fan หรือ Chamber Cooling จะต้องทำให้แต่ละเลเยอร์แข็งตัวเร็วพอที่จะป้องกันไม่ให้งานย้วย หรือเสียรูปทรง

อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาคือคุณภาพงานพิมพ์ ที่ความเร็วสูงมาก พื้นผิวอาจไม่สวยเท่ากับการพิมพ์ที่ช้ากว่า รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ชิ้นส่วนเล็ก ๆ และพื้นผิวด้านนอกมีโอกาสเกิดแถบเส้น รอยสั่นของหัวฉีด หรือมีความเบลอเล็กน้อย การตั้งค่าการดึงกลับก็จะมีความไวมากขึ้นเช่นกัน มีโอกาสเกิดใยแมงมุม และพลาสติกย้อยมากขึ้น และโปรไฟล์ที่ใช้กับเส้นความเร็วต่ำจะต้องถูกปรับใหม่ การปรับระยะทางและความเร็วในการดึงกลับ หรือคุณสมบัติต่างๆ เช่น การปาดและการเช็ดหัวฉีด (Coasting and wiping)  อาจจำเป็นต้องปรับเพื่อทำให้ผิวงานให้เรียบเนียนตามต้องการ

อัตราการไหลในปริมาตรที่สูงขึ้นของการพิมพ์ที่รวดเร็วขึ้นยังเพิ่มความเสี่ยงของการที่หัวพิมพ์ฉีดพลาสติกออกมาไม่เพียงพอ หากหัวฉีดมีขนาดเล็กเกินไปหรือเส้นพลาสติกละลายได้ไม่เร็วพอ ความเครียดของเนื้อพลาสติกที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถเร่งการสึกหรอของหัวฉีดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลหะที่เนื้ออ่อนกว่า เช่นทองเหลือง เพื่อความสบายใจในระยะยาว หัวฉีดเหล็กกล้าที่ชุบแข็งหรือเคลือบสารพิเศษจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากความร้อนไหลย้อนกลับหรือ heat creep หัวฉีดต้องมีความเสถียร รักษาอุณหภูมิด้านเย็นให้เย็นและช่วงที่ละลายเส้นให้ร้อน เพื่อไม่ให้เส้นพลาสติกอ่อนตัวเร็วเกินไปขณะเคลื่อนผ่านชุดหัวพิมพ์

สุดท้ายนี้ การระบายความร้อนและการบิดเบี้ยวเสียรูป ยังคงต้องปรับให้สมดุลตลอดเวลา เลเยอร์ต่าง ๆ ต้องเซ็ตตัวอย่างรวดเร็วเพียงพอเพื่อรักษารูปทรง และสม่ำเสมอ เพียงพอเพื่อรักษาแรงยึดเกาะที่ดีไว้ และป้องกันการบิดเบี้ยวเสียรูป การควบคุมการไหลเวียนของอากาศและอุณหภูมิอย่างระมัดระวังเป็นกุญแจสำคัญสู่การพิมพ์ PETG ความเร็วสูงที่ทั้งแข็งแรงและขนาดแม่นยำตรงตามขนาด

กลับไปที่เมนู 🔝


PETG ชนิดผสมคาร์บอนไฟเบอร์ และคอมโพสิตอื่น ๆ

PETG ที่ผสมเส้นใยคาร์บอน เช่น CF PETG จาก Bambu Lab นี้ ผสานคุณสมบัติกันน้ำและความแข็งแรงเข้าด้วยกัน (ที่มา: Bambu Lab)

PETG คาร์บอนไฟเบอร์นั้นโดยพื้นฐานแล้วก็คือ PETG ทั่วไปที่มีเส้นใยคาร์บอน(แบบสับ) ผสมอยู่ด้วย เส้นใยเหล่านี้ทำให้มีความแข็ง ทนทาน และบิดงอได้น้อยลง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการชิ้นส่วนที่มีขนาดแม่นยำและแข็งแรง ในทางกลับกัน CF PETG มักจะเปราะกว่า ดังนั้นแทนที่จะให้ตัวได้เหมือน PETG ทั่วไป มันอาจหักได้ภายใต้แรงกดที่มากพอ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องระวังคือการสึกหรอของหัวฉีด เส้นพลาสติกเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อนและจะขัดสีหัวฉีดทองเหลืองได้อย่างรวดเร็ว หัวฉีดเหล็กกล้าชุบแข็งหรือหัวฉีดเคลือบสารพิเศษเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และขนาด 0.6 มม. ช่วยป้องกันการอุดตันเนื่องจากเส้นใยเสริมแรงอาจจะไม่สามารถผ่านรูเล็ก ๆ ได้

นอกจากนี้ยังมีวัสดุผสมอื่นๆ อีกด้วย วัสดุผสมใยแก้วมีความคล้ายคลึงกับคาร์บอนไฟเบอร์ แต่มีความกัดกร่อนน้อยกว่าเล็กน้อย วัสดุผสมใยไม้ส่วนใหญ่เน้นอวดรูปลักษณ์และพื้นผิวของงานพิมพ์ ในขณะที่วัสดุผสมเรืองแสง หรือโลหะอาจจะทำให้มีความสนุกในการพิมพ์ แต่จะทำให้หัวฉีดสึกหรอเร็วกว่า โดยทั่วไปแล้ว วัสดุผสมเหล่านี้มักต้องการความร้อนที่สูงกว่าเล็กน้อย บางครั้งอาจต้องใช้ความเร็วที่ช้าลง และต้องปรับค่าการไหลใหม่ เนื่องจากสารเติมแต่งเหล่านี้จะทำให้การเคลื่อนของพลาสติกผ่านหัวฉีดเปลี่ยนไป

ข้อดีคือ PETG ผสม หลายรุ่นเกิดใยแมงมุมน้อยกว่า PETG ทั่วไป ทำให้การเก็บงานง่ายขึ้น โดยรวมแล้ว PETG แบบคอมโพสิตจะปรับแต่งยากกว่า แต่เมื่อคุณตั้งค่าอย่างถูกต้องแล้ว คุณจะได้งานพิมพ์ที่แข็งแรงกว่า แข็งกว่า หรือดูเท่กว่า

การพิมพ์ PETG คาร์บอนไฟเบอร์นั้นคล้ายกับ PETG ทั่วไปมาก แต่โปรไฟล์ต้องมีการปรับแต่งเล็กน้อย โดยปกติแล้วแค่จะต้องพิมพ์ให้ร้อนขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้การไหลลื่นดีขึ้น ตั้งความเร็วให้ช้าลงเพื่อความสม่ำเสมอ และลดการระบายความร้อนลงเพื่อให้มีความแข็งแรงมากขึ้น การดึงกลับอาจสั้นลงได้เนื่องจาก CF จะไม่เกิดใยแมงมุมมากนัก และชั้นแรกควรให้หนากว่าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันหลอมติดกับฐานพิมพ์แน่นเกินไป สิ่งสำคัญที่ต้องเปลี่ยนเลยก็คือ หัวฉีดที่เป็นเหล็กกล้าชุบแข็ง โดยใช้ขนาด 0.6 มม. เป็นสิ่งจำเป็น เพราะคาร์บอนไฟเบอร์จะกัดทองเหลืองให้สึกได้อย่างรวดเร็ว

กลับไปที่เมนู 🔝