รีวิวเปรียบเทียบ Bambu Lab H2D vs H2S – ต่างกันยังไง เลือกตัวไหนดี?

รีวิวเปรียบเทียบ Bambu Lab H2D vs H2S – ต่างกันยังไง เลือกตัวไหนดี?

Bambu Lab เป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่เกิดจากแนวคิดว่าการใช้งานเครื่องพิมพ์หลายรุ่นในตลาดมีความซับซ้อนและราคาสูงเกินไป จึงมีเป้าหมายในการสร้างเครื่องพิมพ์ที่ทั้งใช้งานง่ายและเข้าถึง
ได้ง่ายสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ เป้าหมายหลักของ Bambu Lab คือการออกแบบเครื่องพิมพ์ที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงเทคนิคลึก ผลลัพธ์คือการผลิตเครื่องพิมพ์ 3 มิติหลายรุ่น
ที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปยันผู้ใช้ระดับมืออาชีพ พร้อมพัฒนาอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น AMS (Automatic Material System) ที่ช่วยให้การพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุทำได้สะดวกขึ้น เครื่องพิมพ์
แต่ละรุ่นที่ Bambu Lab ผลิตออกมาล้วนมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ทั้งด้านความเร็ว ขนาดชิ้นงานและความยืดหยุ่นในการพิมพ์แต่ Bambu Lab ก็ยังไม่หยุดพัฒนา จนมาถึงความสำเร็จสูงสุด
กับเครื่องพิมพ์อย่าง Bambu Lab H2D

แม้ว่า H2D จะเป็นรุ่นเรือธงที่ได้รับความนิยมสูง แต่ไม่นานนัก Bambu Lab ก็เปิดตัวเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ป้ายแดงอย่าง Bambu Lab H2S ที่ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าทั้งสองรุ่นแตกต่างกันอย่างไร?
รุ่นไหนเหมาะกับใครบ้าง? รวมถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่นเป็นยังไง? วันนี้เราจะพามาไขข้อสงสัยด้วยการรีวิวเปรียบเทียบให้ดูกันชัดๆแบบครบทุกประเด็น ระหว่าง H2D และ H2S กันให้ดูแบบหมดเปลือก
เลยครับ คิดว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างแน่นอน



รูปลักษณ์ภายนอก

มาเริ่มดูกันที่ประเด็นแรกในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก จะบอกว่าทั้งสองเครื่องนั้นแทบจะเหมือนกันทั้งหมดก็ว่าได้ ทั้ง Bambu Lab H2D และ H2S ต่างถูกออกแบบมาในสไตล์เครื่องพิมพ์ 3 มิติ
ระดับเรือธงที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมตั้งแต่แรกเห็น ตัวเครื่องเป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง ขอบมุมโค้งมนเล็กน้อย ทำให้ดูทันสมัยและแข็งแรงในเวลาเดียวกัน โครงสร้างหลักผลิตจากวัสดุโลหะผสม
และพอลิเมอร์คุณภาพสูงที่ให้ทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เหมาะสม ทำให้วางใช้งานได้มั่นคงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสั่นสะเทือนระหว่างการพิมพ์ ผิวสัมผัสภายนอกสีด้านที่ช่วยลดรอยนิ้วมือ
และให้ความรู้สึกเรียบหรู ส่วนด้านหน้ามีแผงควบคุมแบบหน้าจอสัมผัสที่จัดวางในตำแหน่งเดียวกันทั้งสองรุ่น ใช้งานสะดวกและเข้าถึงง่ายเมื่ออยู่หน้าเครื่อง การจัดวางองค์ประกอบโดยรอบ
เช่น ช่องระบายอากาศ ฝาครอบด้านบน และฐานรองเครื่อง ก็แทบจะไม่ต่างกันมากนัก เมื่อมองเผิน ๆ หากไม่สังเกตรายละเอียดเพิ่มเติม อาจเรียกได้ว่า H2D และ H2S มีโครงสร้างและดีไซน์ภายนอก
ที่แทบจะแฝดกันเลยทีเดียว

มาถึงในส่วนที่ต่างกันของทั้งสองรุ่น ก็ต้องบอกว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน แม้โครงสร้างหลักจะคล้ายกันแทบทั้งหมดก็ตาม

  • H2D จะมีหน้าต่างด้านข้างทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อให้มองเห็นภายในได้รอบทิศทางมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เห็นการพิมพ์และการทำงานของ โมดูลเสริมต่างๆ ได้ เป็นการออกแบบให้ทำงานกับฟังก์ชันเสริม
    เช่น เลเซอร์ หรือปากกาได้สะดวกกว่า
  • H2S ยังคงใช้โครงสร้างแกร่ง แต่ตัดหน้าต่างด้านข้างออก ทำให้ดูเรียบและเน้นการใช้งานฟังก์ชัน 3D พิมพ์เป็นหลัก ไม่เน้นการตัดหรือแกะ


เปรียบเทียบสเปก

ต่อมาเราก็จะมาเข้าประเด็นหลัก ที่หลายคนรอเลยครับ นั่นก็คือการดูเปรียบเทียบสเปกเครื่องแบบชัด ๆ จะได้เห็นกันไปเลยว่าทั้งสองรุ่นมีความเหมือนและต่างกันตรงไหนบ้าง

ฟีเจอร์ Bambu Lab H2D Bambu Lab H2S
จำนวนหัวฉีด 2 หัว (Dual Nozzle) 1 หัว (Single Nozzle)
ขนาดพื้นที่พิมพ์ 325 × 320 × 325 มม. (Single),
300 × 320 × 325 มม. (Dual)
340 × 320 × 340 มม.
วัสดุที่รองรับ PLA, PETG, TPU, PVA, BVOH, ABS, ASA, PC, PA, PET,
Carbon/Glass Fiber
PLA, PETG, TPU, PVA, BVOH, ABS, ASA, PC, PA, PET,
Carbon/Glass Fiber
อุณหภูมิหัวพิมพ์สูงสุด 350°C 350°C
ระบบรักษาอุณหภูมิในห้องพิมพ์ รักษาอุณหภูมิให้คงที่สูงสุด 65°C รักษาอุณหภูมิให้คงที่สูงสุด 65°C
ความเร็วสูงสุด 1000 mm./s 1000 mm./s
ระบบจัดการวัสดุ AMS Pro 2 รองรับ รองรับ
ระบบ AI ตรวจสอบ / กล้อง รองรับ รองรับ
ระบบระบายอากาศ Adaptive Airflow Adaptive Airflow
รองรับโมดูลเสริม โมดูลเลเซอร์ 10W/40W, เครื่องตัดดิจิทัล, ปากกาวาดภาพ โมดูลเลเซอร์ 10W, เครื่องตัดดิจิทัล, ปากกาวาดภาพ
น้ำหนักสุทธิ  31 กก.  30 กก.
ขนาดเครื่อง (W×D×H) 492 × 514 × 626 มม.  492 × 514 × 626 มม.


ฟังก์ชันหลักที่เหมือนกัน

1. ระบบควบคุมอุณหภูมิขั้นสูง
ทั้งสองรุ่นมีหัวฉีดที่สามารถทำอุณหภูมิได้สูงถึง 350°C และห้องพิมพ์ที่สามารถรักษาอุณหภูมิให้คงที่ (สูงสุดประมาณ 65°C) ช่วยให้รองรับการพิมพ์วัสดุหลากหลายประเภท เช่น PLA, PETG, TPU, PVA
หรือพิมพ์วัสดุที่ต้องการความร้อนสูง เช่น ABS, ASA หรือไนลอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาชิ้นงานบิดงอหรือหดตัว

2. ระบบตรวจสอบการพิมพ์ด้วย AI
ทั้งสองรุ่นติดตั้งกล้อง AI พร้อมเลนส์มาโคร สำหรับตรวจสอบการพิมพ์แบบเรียลไทม์ ตรวจจับข้อผิดพลาด เช่น การสะสมของวัสดุผิดพลาดหรือการเบี่ยงเบนของเส้นทางการพิมพ์ ช่วยให้ชิ้นงาน
มีคุณภาพสูงและลดโอกาสล้มเหลว

3. ระบบ AMS Pro 2 และการจัดการวัสดุอัจฉริยะ
ทั้งสองรุ่นรองรับระบบ AMS Pro 2 สำหรับจัดการวัสดุอัตโนมัติ ตรวจสอบและควบคุมการฟีดวัสดุ รวมถึงการแห้งวัสดุที่มีความชื้น ลดปัญหาหัวฉีดอุดตันและรักษาคุณภาพงานพิมพ์

4. ความเร็วในการพิมพ์สูง
ทั้งสองรุ่นสามารถพิมพ์ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 1000 มม./วินาที และเร่งความเร็วได้ถึง 20,000 มม./วินาที² ช่วยให้การผลิตชิ้นงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

5. การรองรับโมดูลเสริม
ทั้งสองรุ่นสามารถติดตั้งโมดูลเสริม เช่น โมดูลเลเซอร์สำหรับแกะสลักและตัดวัสดุ หรือโมดูลปากกาเพื่อวาดลายเส้น เพิ่มความหลากหลายและยืดหยุ่นในการใช้งาน

ความแตกต่างที่สำคัญ
1. หัวฉีด (Dual vs. Single Nozzle)
H2D: มาพร้อมกับหัวฉีดคู่ (Dual Nozzle) ซึ่งช่วยให้สามารถพิมพ์วัสดุสองชนิดพร้อมกันได้ เช่น PLA และ PVA หรือ ABS และ PVA โดยสามารถใช้หัวฉีดหนึ่งสำหรับวัสดุหลัก และอีกหัวสำหรับวัสดุ
ซัพพอร์ตที่สามารถละลายน้ำได้ เช่น PVA ซึ่งช่วยให้การพิมพ์ชิ้นงานที่ซับซ้อนมีความสะดวก และลดต้นทุนวัสดุซัพพอร์ตที่มีราคาสูงได้


H2S: ใช้หัวฉีดเดี่ยว (Single Nozzle) ซึ่งเหมาะสำหรับการพิมพ์วัสดุชนิดเดียวในแต่ละครั้ง ลดความซับซ้อนในการออกแบบและการบำรุงรักษา ทำให้เครื่องพิมพ์มีความเสถียรและใช้งานได้ยาวนาน

2. พื้นที่การพิมพ์ (Build Volume)
H2D: มีพื้นที่การพิมพ์สูงสุดที่ 325 × 320 × 325 มม. ซึ่งเหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานขนาดกลางถึงใหญ่
H2S: มีพื้นที่การพิมพ์สูงสุดที่ 340 × 320 × 340 มม. ซึ่งเพิ่มความสูงของชิ้นงานที่สามารถพิมพ์ได้ ทำให้เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานที่สูงขึ้น และทำให้ H2S เป็นเครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ชิ้นงาน
ได้ขนาดใหญ่ที่สุด ของค่าย Bambu Lab ในขณะนี้

3. ราคา
H2S มีราคาถูกกว่า ซึ่งเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่การพิมพ์ขนาดใหญ่และความเร็วในการพิมพ์สูง โดยไม่ต้องการฟีเจอร์หัวฉีดคู่ ในขณะที่ H2D ก็ถือว่าสมราคาเมื่อเทียบกับฟีเจอร์
ที่ครบครันและความสามารถในการพิมพ์หลายวัสดุพร้อมกัน

 

Showcase การใช้งานจริง
เมื่อดูในส่วนของข้อมูลแล้ว ต่อไปเราก็มาดูกันในด้านการใช้งานจริงกันเลยครับ ในแง่ของคุณภาพพื้นฐานของชิ้นงาน เครื่องพิมพ์ทั้ง 2 รุ่น ผลลัพธ์ที่ได้คงแทบไม่ต่างกันมากนัก รายละเอียด ความคมชัด
หรือความเนียนของพื้นผิว ฉะนั้นเราจะมาดูกันในส่วนของหัวฉีดกัน

H2D : หัวฉีดคู่ (Dual Nozzle)

งานที่ต้องเลือกใช้ H2D มักเป็นงานที่ต้องการวัสดุสองชนิด เช่น งานที่มีซัพพอร์ตเยอะ อยากใช้เส้นซัพพอร์ตที่ละลายน้ำได้ หรืองานที่อยากได้หลายสีในชิ้นเดียว โดยหลักการทำงานก็คือเราติดตั้งเส้นวัสดุ
หรือสีที่เราต้องการที่เครื่องหรือ AMS เซ็ทชาแนลสีหรือวัสดุว่าแต่ละชนิดต่อไปยังหัวฉีดไหน หากเราใช้เส้นแบรนด์ Bambu Lab โดยตรงเครื่องจะอ่านให้อัตโนมัติว่าเป็นเส้นสีหรือวัสดุอะไร ที่เหลือก็แค่ตั้งค่า
ในโปรแกรม Bambu Studio ให้สีหรือวัสดุตรงกันก็สามารถสั่งพิมพ์ได้เลย

ตัวอย่างการทำงานการสลับระหว่าง 2 หัวฉีด (ซ้าย : โมเดล, ขวา : ซัพพอร์ต)

การทำงานระหว่างพิมพ์จะเห็นการสลับหัวอย่างต่อเนื่อง เช่น หัวหนึ่งพิมพ์ตัวโมเดล อีกหัวพิมพ์ซัพพอร์ต ช่วยลดการใช้วัสดุเกินจำเป็นมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าเทียบกับเครื่องหัวเดียว ถ้าว่ากันในเรื่อง
การพิมพ์ 2 วัสดุเวลาที่ใช้ถือว่าน้อยกว่าหากเทียบกับเครื่องหัวเดียวครับ

H2S : หัวฉีดเดี่ยว (Single Nozzle)
H2S เหมาะกับงานทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนมาก เช่น โมเดลต้นแบบ หรือชิ้นส่วนที่ใช้วัสดุเดียว สีเดียว การตั้งค่าใช้งานง่ายมาก ตั้งค่าเส้นที่ใช้ แล้วก็กดพิมพ์ได้เลย ไม่ต้องคิดซับซ้อน การทำงานระหว่างพิมพ์
ก็ตรงไปตรงมา หัวเดียวพิมพ์จนจบ จุดที่ต่างจาก H2D คือถ้าอยากพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุ เครื่องจะต้องทำการ Purge เส้นทิ้งซึ่งทำให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองวัสดุมากกว่า ระยะเวลาพิมพ์จึงขึ้นกับ
ลักษณะชิ้นงานเป็นหลัก ฉะนั้นในงานที่เรียบง่าย H2S ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะทำงานรวดเร็วและเสถียร

ตัวอย่างงานพิมพ์จาก H2D



ตัวอย่างงานพิมพ์จาก H2S


จุดแข็ง – จุดอ่อนของแต่ละรุ่น

H2D

✅จุดแข็ง

  • พิมพ์ Multi-material และ Multi-color ได้รวดเร็วกว่าและต่อเนื่อง
  • ลดการสิ้นเปลืองวัสดุจากการ Purge เส้นทิ้ง

❌จุดอ่อน

  •  พื้นที่การพิมพ์งานเล็กกว่า H2S

H2S

✅จุดแข็ง

  • พื้นที่การพิมพ์ใหญ่สุดของค่าย Bambulap
  • ราคาถูกกว่า
  • การจัดการ, การตั้งค่าง่ายกว่า (พิมพ์งานวัสดุเดียว)

❌จุดอ่อน

  • พิมพ์ Multi-material, multi-color ช้ากว่า, สิ้นเปลืองกว่า

 

สรุปแล้วเครื่องไหนเหมาะกับใคร?
มาถึงตรงนี้ถ้าใครยังลังเลอยู่ มาฟังสรุปง่าย ๆ กันเลยครับ
H2D ก็ยังถือว่าเป็นตัวเรือธงของ Bambu Lab อยู่ดี จุดเด่นคือพิมพ์งานหลายวัสดุ หลายสีได้เร็วกว่า แถมประหยัดวัสดุด้วย เหมาะกับองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการคุณภาพงานสูงและจัดการต้นทุนได้ดี
หรือถ้าเป็นผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้ติดเรื่องงบ ก็เลือก H2D ไปเลยครับ เพราะได้ความยืดหยุ่นและความคุ้มค่าระยะยาวแน่นอน

ส่วน H2S ก็ชัดเจนว่าเป็นรุ่นประหยัดกว่า แต่ได้พื้นที่การพิมพ์ใหญ่สุดในค่าย เหมาะกับคนที่อยากเริ่มจริงจังแต่ไม่ได้ต้องการฟังก์ชันหัวคู่ ใช้งานวัสดุเดียวหรือพิมพ์งานทั่วไปเป็นหลัก ตัวนี้ตอบโจทย์
เลยครับ ราคาดี ใช้งานง่าย แถมยังได้ฟังก์ชันเทียบเท่าเครื่องระดับโปรอย่าง H2D ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มมาก ๆ