Eagle LiDAR Scanner ผู้ช่วยสำคัญในการตกแต่งภายในและปรับปรุงพื้นที่

Eagle LiDAR Scanner ผู้ช่วยสำคัญในการตกแต่งภายในและปรับปรุงพื้นที่

ในโลกของงานตกแต่งและปรับปรุงพื้นที่ ความแม่นยำและความรวดเร็วในการสำรวจถือเป็นหัวใจสำคัญ Eagle LiDAR Scanner ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานด้านนี้สะดวกขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยเทคโนโลยีการสแกนแบบ LiDAR ที่สามารถเก็บรายละเอียดของพื้นที่ได้ครบถ้วนและแม่นยำในระดับเซนติเมตร นักออกแบบและผู้รับเหมาสามารถใช้ Eagle สแกนพื้นที่ภายในทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนัง เพดาน พื้น ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เดิม เพื่อสร้าง Point Cloud ที่สะท้อนขนาดจริงของสถานที่ ข้อมูลนี้สามารถนำไปประมวลผลในซอฟต์แวร์อย่าง AutoCAD, Revit หรือ SketchUp เพื่อสร้างโมเดล 3D ที่พร้อมสำหรับการออกแบบใหม่ทันที

นอกจากนี้ Eagle ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการวัดมือแบบเดิม ทำให้นักออกแบบสามารถวางแผนการปรับปรุง วางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ใหม่ หรือเพิ่มระบบไฟฟ้าและท่อน้ำได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถสร้างการนำเสนอแบบเสมือนจริง (VR/AR) เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพชัดเจนก่อนการตัดสินใจด้วยความสามารถที่ครอบคลุมทั้งการสำรวจ ออกแบบ และนำเสนอ Eagle LiDAR Scanner จึงกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ทำให้การตกแต่งภายในไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังแม่นยำและประหยัดเวลาอย่างแท้จริง

การนำ Eagle LiDAR Scanner มาใช้ในงานตกแต่งภายใน ยังช่วยให้ทีมงานประหยัดเวลาในกระบวนการทำงานได้อย่างมาก เพราะเพียงแค่สแกนพื้นที่หนึ่งครั้งก็สามารถเก็บข้อมูลครบถ้วนทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นขนาดห้อง ความสูงของเพดาน หรือมิติที่ซับซ้อนอย่างเสาและคาน ข้อมูลเหล่านี้ถูกแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ข้อมูล Point Cloud ที่ได้จาก Eagle สามารถช่วยตรวจสอบความถูกต้องของงานก่อสร้างจริงเมื่อเทียบกับแบบแปลน ลดความเสี่ยงในการแก้ไขงานที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง นอกจากนี้ยังช่วยให้นักออกแบบสามารถนำเสนอทางเลือกหลายรูปแบบให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพรวมของโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้การตัดสินใจเป็นเรื่องง่ายขึ้น

สรุปประโยชน์ของ Eagle ในงานปรับปรุงพื้นที่ภายใน

เก็บสภาพพื้นที่จริงอย่างละเอียด – LiDAR จะสแกนพื้นที่ภายในทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนัง เพดาน พื้น หรือเฟอร์นิเจอร์ ได้ Point Cloud ที่แสดงขนาดและสัดส่วนจริง ทำให้มั่นใจว่าการออกแบบสอดคล้องกับพื้นที่

ลดความผิดพลาดในการวัดมือ – ไม่ต้องเสียเวลาจดขนาดทีละจุดหรือกังวลเรื่องการวัดคลาดเคลื่อน และข้อมูลที่ได้แม่นยำในระดับเซนติเมตร

สร้างแบบจำลอง 3D – สามารถนำข้อมูลไปสร้าง BIM (Building Information Modeling) หรือโมเดล 3D และนักออกแบบเห็นโครงสร้างจริงพร้อมใส่เฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุใหม่ลงไปได้เลย

วางแผนการปรับปรุงอย่างแม่นยำ – ช่วยตรวจสอบระยะว่าง เช่น จุดติดตั้งไฟฟ้า ประตู หน้าต่าง หรือการเดินท่อ/สายไฟ และลดความเสี่ยงจากการคำนวณผิด

นำเสนอให้ลูกค้าเห็นภาพจริง – แปลงเป็นโมเดลเสมือนจริง (VR/AR) ให้ลูกค้าเดินชมพื้นที่ก่อนปรับปรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกแบบ