3D Printer SLA เครื่องพิมพ์ 3มิติระบบเรซิ่น (SLA/LCD/DLP)


เครื่องปริ้น 3ดี ขึ้นรูปแสง UV บนน้ำเรซิ่น เมื่อเรซิ่นโดนแสงที่จุดหนึ่งๆเปลี่ยนเป็นของแข็งที่จุดนั้น ใช้หลักการนี้ในการสร้างรูปร่าง 3มิติขึ้นมา แหล่งกำเนิดแสงมีหลายแบบ หากเป็นเลเซอร์จะเรียกกว่า SLA (Stereolithography), หากแหล่งแสงจากProjectorเรียก DLP, หากใช้ LCD เรียก MSLA หรือ LCD 3D Printer ราคาเริ่มต้นหลักหมื่น จนถึงระดับอุตสหกรรมหลักล้าน

โดยเราได้แบ่งหมวดหมู่เพิ่มเติมเป็น 3หมวดหมู่

ระบบเรซิ่นนี้เป็นระบบที่ให้ความละเอียดสูงที่สุด สวยสุด หากเทียบกับระบบอื่น แต่มีข้อเสียอยู่ที่ความยุ่งยากในการใช้งาน, การล้าง, ความสกปรก และสารเคมี ระบบนี้ใช้กันมากในอุตสหกรรม Jewelry, การหล่อ, งานประติมากรรม, อุตสาหกรรมรถยนต์ SLA Printer ขนาดเล็กนั้นปัจจุบันมีราคาถูก ส่วนเครื่อง SLA ที่พิมพ์ได้ใหญ่ 600mm-1700mm เป็นที่นิยมในโรงงานอุตสาหกรรมมีราคาสูงตามคุณภาพงานที่พิมพ์ออกมาตัวอย่างงานพิมพ์จากเครื่องอุตสาหกรรมงานศิลปะ, งานชิ้นส่วนรถยนต์ //อ่านเพิ่ม DLP/SLA 3D Printer คืออะไร?

พิมพ์ 3 มิติระบบเรซิ่น LCD / MSLA ราคาเอื้อมถึง


เครื่องพิมพ์ 3มิติ ความละเอียดสูง ขึ้นรูปด้วยแสงจอ LCD มีวัสดุรองรับมากมาย


เครื่องขนาดใหญ่ พิมพ์ชิ้นส่วนรถได้ทั้งคัน

พิมพ์ 3 มิติระบบเรซิ่น ขนาดใหญ่ Ray SLA ถึง 600mm ถึง 2700mm
เครื่องพิมพ์ 3มิติ เกรดอุตสาหกรรม ได้ทั้งความละเอียดสูง พิมพ์ได้ใหญ่ 600-2700mm SLA Top-Down ขึ้นรูปด้วยการยิงเลเซอร์ขนาด 355nm ลงบนเรซิ่น สร้างชิ้นงานที่ละชั้นโดยฐานจะค่อยๆจมลงด้านล่าง ระบบนี้ใช้ในอุตสาหกรรมระดับสูงเนื่องจากตัวเรซิ่นเองจะช่วยพยุงชิ้นงาน ลดความเสียหาย เหมาะสำหรับงานชิ้นส่วนรถยนต์, งานศิลปกรรม, งานประติมากรรม


วัสดุสิ้นเปลือง น้ำเรซิ่นของระบบ SLA

อุปกรณ์เสริม Consumable 3D Printer ระบบ (Accessory)
อุปกรณ์เสริม เพิ่มเติมสำหรับเครื่องพิมพ์ระบบเรซิ่น เช่นเครื่องล้างเรซิ่น เครื่องอบเรซิ่นเป็นต้น


โบรชัวร์


อ่านเพิ่มเติม

หลักการทำงานของ SLA 3D Printer
เช่นเดียวกับ เครื่องพิมพ์ 3มิติ ระบบอื่นๆหลักการทำงานคือการพิมพ์ชิ้นงานทีละชั้นไปเรื่อยๆ (Layer by Layer) โดยวัสดุตั้งต้นของระบบนี้คือเรซิ่น ที่มีส่วนผสมระหว่าง Monomer และ Photoinitiator สารที่ถูกแสง UV จะเชื่อม Monomer เป็น Polymer พลาสติกนั้นเอง เมื่อฉายแสง UV เฉพาะเจาะจงตามลวดลายที่ต้องการสามารถทำให้เกินแผ่นพลาสติกแข็งเป็นชั้น หลายๆชั้นต่อกันออกมาเป็นรูปร่าง 3มิติ โดยหลักๆแล้วเครื่องสามารถแบ่งได้ตามแหล่งกำเนิดแสง เช่นจากเลเซอร์เรียก SLA, จาก Projector เรียก DLP, ผ่านหน้าจอ LCD เรียก MSLA เป็นต้น สามารถแบ่งตามทิศทางการขึ้นรูป เช่น แสงอยู่ด้านบน จุ่มงานลงด้านล่าง เรียก Top Down SLA, แสงอยู่ด้านล่าง ดึงชิ้นงานขึ้นเรียก Bottom Up SLA เป็นต้น

Top Down SLA

ยิงแสงเลเซอร์จากด้านบน ให้วัสดุแข็งตัว และจุ่มชิ้นงานลงด้านล่าง เมื่อเสร็จจะดันขึ้น

หลักการทำงานของระบบ Top Down SLA  3D Printer

เป็นระบบที่ใช้แหล่งกำเนิดแสงเป็น Laser ยิงเข้าสู่วัสดุ เรซิ่น เพื่อขึ้นรูปหลังจากยิง 1ชั้น/Layer แล้วฐานพิมพ์จะทำการดำหรือจุ่มลงด้านล่าง เพื่อเป็นการบ่มชิ้นงานใน Resin  เมื่องานเสร็จจะทำการยก ฐานรองขึ้น เทคโนโลยีระบบนี้มักจะมีอยู่ใน 3D Printer ที่มีขนาดใหญ่ อย่างเช่น Kings SLA Pro เกรดอุตสาหกรรม ได้ทั้งความละเอียดสูง พิมพ์ได้ใหญ่ 600-1700mm สำหรับงานชิ้นส่วนรถยนต์, งานศิลปกรรม, งานประติมากรรม // ระบบนี้มักจะใช้น้ำยาเรซิ่นที่มีขนาดความยาวคลื่น 355nm
Brand : Kings SLA , Ray (แบรนด์คนไทยจาก 3DD)

ตัวอย่างงานผลิตจากเครื่อง Ray 1700

Bottom Up SLA

ยิงแสงด้านล่าง ให้วัสดุแข็งตัว และฐานพิมพ์จะดึงชิ้นงานขึ้นด้านบน

เป็นการขึ้นรูปด้วยแสงเลเซอร์ที่อยู่ใต้ถาดเก็บน้ำยาเรซิ่น จะทำการวาดทีละ Layer แล้วจากนั้น ฐานพิมพ์จะทำการดึงชิ้นงานขึ้น จนก่อเป็นโมเดลที่สำเร็จ ซึ่งมีความละเอียดสูงต่อให้เป็นเครื่องขนาดใหญ่ก็ยังมีความละเอียดที่สูงอยู่มากๆ อย่างเช่น Form3L ขนาดการพิมพ์ 33.5 × 20 × 30 cm แต่มีความละเอียดสูงถึง 25ไมครอน เมื่อเทียบกับระบบอื่น ยิ่งเครื่องใหญ่ ความละเอียดจะยิ่งเพิ่มขึ้น (ค่าความละเอียดยิ่งน้อยยิงดี กลับกันค่าความละเอียดเยอะ ความคมชัดก็จะน้อยลง) ความนิยมสำหรับเทคโนโลยี SLA(Bottom up) จะเป็นอุตสาหกรรม ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ที่จะต้องนำวัสดุมาวิจัยก่อนสั่งต่างประเทศผลิต เนื่องจาก วัสดุน้ำยาเรซิ่น ของระบบนี้จะมีการวิจัยมาแล้ว รวมถึงนิยมใช้ในแลปส์ โดยเฉพาะแลปส์ทันตกรรม
Brand : Formlabs(ระบบนี้เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Formlabs)

Digital Light Processing (DLP)
เป็นการขึ้นรูปด้วยแสง Projector เป็นระบบที่มีความเร็วสูงระดับนึง เนื่องจากจะทำการฉายแสง 1 เลเยอร์เพื่อให้แข็งตัวและจากนั้นจะทำการดึงขึ้น แถมมีความละเอียดที่สูงพอสมควร แต่ด้วยตัวเครื่องที่มีทรงสูงเกินความจำเป็น เพราะว่า DLP จะต้องมี ตัวกำเนิดแสงหรือเครื่องฉาย Projector ภายใต้เครื่องเพื่อขึ้นรูป และตัวเครื่องยังมีราคาที่สูง ทำให้นิยมใช้ในอุตสาหกรรม ทันตกรรม,Jewerly เหมือนกับด้านบน แต่ในด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ จะไม่ค่อยนิยมเช่น Automotive , Art เนื่องจากเครื่องมีขนาดใหญ่ แต่ขนาดที่พิมพ์ได้มีขนาดเล็ก
Brand : Flashforge , ELEGOO , plonext และอื่นๆ

MSLA/LCD 3D Printer
เป็นการขึ้นรูปด้วยแสง LED UV เป็นจุด Pixel ซึ่งเมื่อก่อนจะเข้าถึงได้ยากเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง และการใช้งานที่สะดวกกว่า DLP ในปัจจุบัน MSLA/LCD เป็นระบบที่มีคุณภาพสูง ราคาประหยัดเทียบเท่าระบบ FDM ได้เลย และยังมีวัสดุรองรับมากมาย ทั้งแบบทั่วไปที่ใช้งาน จนถึงระดับอุตสาหกรรม Dental Jewerly หรือแม้กระทั่ง Part ทดแทน นิยมในผู้ใช้ทุกระดับ และหลากหลาย Solution มีหลายรุ่นหลายแบรนด์
ฺBrand : Flashforge , ELEGOO , Phrozen , Anycubic , creality


การเลือกใช้เครื่องให้เข้ากับชิ้นงาน
การเลือกใช้เครื่องสำหรับ 3D Printer SLA จะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องที่เราต้องการ เนื่องจากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะระบบไหน ก็มีเรซิ่นรองรับกับความต้องการ อย่างเมื่อก่อนหากต้องการพิมพ์ Jewerly , Dental ก็จะต้องมุ่งไปยัง Formlabs เนื่องจากมีวัสดุที่มีการวิจัยมากที่สุดและเฉพาะทางมากที่สุด
แต่ปัจจุบันตัว LCD ที่เป็น Phrozen เองก็มีเรซิ่น Jewerly , Dental ออกมารองรับเช่นกัน และยังทำงานได้เทียบเท่ากันอีกด้วย ส่วนในเรื่องราคาก็แทบจะเท่ากับเครื่อง 3D Printer FDM

ระบบเรซิ่นนี้เป็นระบบที่ให้ความละเอียดสูงที่สุด สวยสุด หากเทียบกับระบบอื่น แต่มีข้อเสียอยู่ที่ความยุ่งยากในการใช้งาน, การล้าง, ความสกปรก และสารเคมี ระบบนี้ใช้กันมากในอุตสหกรรม Jewerlyการหล่อ, งานประติมากรรมอุตสาหกรรมรถยนต์ SLA Printer ขนาดเล็กนั้นปัจจุบันมีราคาถูก ส่วนเครื่อง SLA ที่พิมพ์ได้ใหญ่ 600mm-1700mm เป็นที่นิยมในโรงงานอุตสาหกรรมมีราคาสูงตามคุณภาพงานที่พิมพ์ออกมาตัวอย่างงานพิมพ์จากเครื่องอุตสาหกรรมงานศิลปะงานชิ้นส่วนรถยนต์


อ่านต่อ


Gallery


บทความที่เกี่ยวข้อง